Prachachat BITE SIZE โดย พฤฒินันท์ สุดประเสริฐ
“หนี้ครัวเรือน” โจทย์ใหญ่ของแบงก์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงิน และกำลังหาทางแก้ไขเร่งด่วน ทั้งการแก้ปัญหาหนี้เก่า และกำกับดูแล
หนึ่งในปัญหาสำคัญของหนี้ครัวเรือนที่ต้องแก้ปัญหา คือปัญหา “หนี้เรื้อรัง” ซึ่งเป็นปัญหาหนี้ที่กระทบในเชิงรายได้ และทำให้การปิดจบหนี้นั้น หาทางปิดไม่ได้ หรือหาทางปิดได้ยาก
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 2 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
หนี้เรื้อรัง คืออะไร?
หนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) คือหนี้ที่ยังมีสถานะปกติ ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่ปัญหาคือ หาทางปิดจบหนี้ไม่ได้ เช่น กู้หนี้ใหม่ไปปิดหนี้เก่า จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น จ่ายหนี้แบบขั้นต่ำมาตลอด หรือที่เรียกว่า “ภาวะดอกท่วมต้น” และไม่มีวันสิ้นสุด
โดยเป้าหมายหลักของแบงก์ชาติ ที่จะแก้ปัญหาหนี้กลุ่มนี้ เพื่อให้ลูกหนี้เรื้อรังสามารถปิดหนี้ได้เร็วขึ้น และมีเงินเหลือใช้ ผ่านการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือกลุ่มหนี้เรื้อรัง
ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลจากสถาบันการเงินโดยคร่าว ๆ พบว่ามีลูกหนี้เข้าข่ายหนี้เรื้อรังราว 5 แสนบัญชี จากจำนวนสินเชื่อบุคคลภายใต้กำกับของ ธปท. ณ เดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 16.67 ล้านบัญชี
แก้หนี้เรื้อรัง 2 กลุ่ม
สำหรับมาตรการที่จะเกิดขึ้นนี้ คุณสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า มาตรการดูแลหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt : PD) จะแบ่งกลุ่มลูกหนี้เรื้อรังเป็น 2 ประเภท ได้แก่
กลุ่มที่ 1 ลูกหนี้ที่มีสัญญาณเป็นเรื้อรัง (General PD)
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นย้อนหลัง 3 ปี (นับตั้งแต่ 1 เม.ย. 67) โดยธนาคารหรือเจ้าหนี้ จะส่งข้อความแจ้งเตือนลูกหนี้ที่เป็น General PD ว่า มีสัญญาณหนี้เรื้อรัง แนะนำให้ชำระหนี้ต่อเดือนมากขึ้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและปิดจบหนี้เร็วขึ้น
กลุ่มที่ 2 ลูกหนี้เรื้อรัง (Severe PD)
ลูกหนี้กลุ่มนี้ จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นย้อนหลัง 5 ปี โดยกำหนดเกณฑ์ลูกหนี้เบื้องต้นเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ
- ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มธุรกิจการเงิน ที่มีรายได้น้อยกว่า 2 หมื่นบาทต่อเดือน
- ลูกหนี้ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (น็อนแบงก์) รายได้ 1 หมื่นบาทต่อเดือน
สำหรับรูปแบบของการแก้หนี้กลุ่มลูกหนี้เรื้อรัง จะใช้วิธีแปลงสินเชื่อหมุนเวียน เป็นสินเชื่อแบ่งชำระรายงวด (Term Loan) โดยเงื่อนไขปิดจบหนี้ภายใน 5 ปี ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 15% ต่อปี จากปกติ 25% ต่อปี
ส่วนเงื่อนไขสำคัญของลูกหนี้ที่เข้าโครงการแก้หนี้เรื้อรัง คือ จะไม่สามารถกู้เพิ่มได้จนกว่าจะปิดหนี้จบ ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน รวมถึงมีรายงานประวัติข้อมูลเครดิตว่าเข้าปรับโครงสร้างหนี้ในโครงการนี้ โดยมาตรการนี้แล้วแต่ความสมัครใจของลูกค้าในการเข้าร่วม
สำหรับมาตรการเหล่านี้ แบงก์ชาติระบุว่า เป็นการดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อประเมินผลกระทบจากกลุ่มน็อนแบงก์ภายใน 1 ปี เพื่อปรับเงื่อนไขใหม่
แก้หนี้เรื้อรัง กระทบตลาดสินเชื่อ?
มาตรการแก้หนี้เรื้อรังของแบงก์ชาติ แม้จะเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยลูกหนี้ได้ แต่ภาคการเงิน ตั้งแต่ธนาคาร จนถึงบริษัทสินเชื่อ มองว่ามาตรการนี้ อาจกระทบกับรายได้ที่มาจากดอกเบี้ย
พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล เคทีซี เปิดเผยว่า จากการประเมินผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ต่อรายได้ดอกเบี้ยที่ปรับลดลง โดยเคทีซีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 18 ล้านบาทต่อเดือน ภายใต้ลูกค้าที่เข้าข่ายหนี้เรื้อรังเข้าร่วมโครงการทุกราย ซึ่งถือว่าไม่สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ดอกเบี้ยทั้งปี เฉลี่ยอยู่ที่ราว 7,000 ล้านบาท
อีกด้านหนึ่ง นันทวัฒน์ โชติวิจิตร กรรมการบริหาร บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มองว่า การเติบโตของตลาดสินเชื่อบุคคลในปีนี้ จะน้อยกว่าคาดการณ์ไว้เดิมที่เฉลี่ยทั้งระบบจะขยายตัวอยู่ที่ราว 5-10%
ส่วนหนึ่งมาจากการที่มาตรการแก้หนี้เรื้อรังน่าจะกดดันการเติบโต เพราะหากกรณีมีลูกค้าเข้าโครงการฯ จำนวนมาก ทำให้การหาลูกค้าใหม่จะยากขึ้น
นอกจากเชิงรายได้ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่บางรายวิเคราะห์ว่า จะมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการนี้ไม่มาก
นันทวัฒน์ จากอิออน ธนสินทรัพย์ ระบุว่า จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่าจะมีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 5% ของลูกหนี้ที่เข้าหลักเกณฑ์ทั้งหมด
เช่นเดียวกับ ณญาณี เผือกขำ ประธานกรรมการ กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ระบุว่า คาดว่าจะมีลูกค้าให้ความสนใจตอบรับเข้าร่วมโครงการเพื่อปิดจบหนี้ภายใน 5 ปี ประมาณ 10%
ทั้งอิออน และกรุงศรี คอนซูมเมอร์ วิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันว่า จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการจะอยู่ในสัดส่วนที่น้อย
ปัจจัยสำคัญ คือ เงื่อนไขที่กำหนดให้ลูกค้าที่เข้าโครงการไม่สามารถกู้สินเชื่อใหม่ได้ในช่วง 5 ปีที่กำลังปิดจบหนี้ ยกเว้นกู้กรณีฉุกเฉินได้
แบงก์ชาติยังระบุเพิ่มเติมว่า ทุกสถาบันการเงินที่มีลูกค้าสินเชื่อบุคคล ต้องออกแบบมาตรการรองรับการแก้หนี้เรื้อรัง ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 เมษายน 2567
จากนี้ต้องติดตามกันว่า มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีหนี้เรื้อรัง สางไม่ออก ตามนโยบายหัวหอกของแบงก์ชาติ จะสำเร็จมาก-น้อยขนาดไหน และได้รับผลตอบรับไปในทิศทางไหน
ชมรายการ Prachachat BITE SIZE EP.14 ได้ที่ https://youtu.be/VaZFp51B1sA