“ซิตี้แบงก์” แนะธนาคารต้องปรับตัวตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ด้านดิจิทัลโซลูชั่น

“ซิตี้แบงก์”

ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยการทำธุรกรรมทางการเงินและกิจกรรมทางการค้าของธนาคาร-สถาบันการเงินได้รับการพัฒนาด้วยดิจิทัลโซลูชั่น ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็วในระดับเรียลไทม์ ชี้ ซิตี้แบงก์พร้อมนำเสนอบริการดิจิทัลโซลูชั่นทางการเงินที่มีความหลากหลาย เพื่อยกระดับการให้บริการและสร้างการเติบโตทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า

วันที่ 4 กันยายน 2566 นายซานดีฟ พาทิล หัวหน้าฝ่ายการบริการด้านการบริหารสภาพคล่องและสินทรัพย์ดิจิทัลประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า เทรนด์ธุรกรรมทางการเงินและธนาคารในอนาคตอันใกล้นี้ จะถูกเติมเต็มด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยี อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บล็อกเชน (Blockchain) เครือข่ายข้อมูลอัจฉริยะ (Internet of Things) เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (VR) และการชำระเงินด่วนหรือพร้อมเพย์ (Instant Payment) ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

พร้อมพลิกโฉมโมเดลการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ให้มีการดำเนินงานที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ทั่วโลก ทำให้ความต้องการบริการธุรกรรมทางการเงินทั้งภายในและระหว่างประเทศที่สามารถดำเนินการได้ทันท่วงทีแบบเรียลไทม์และมีความปลอดภัยสูงจึงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นธนาคารและสถาบันทางการเงินจึงต้องพัฒนาโซลูชั่นเพื่อตอบรับภูมิทัศน์ของธุรกรรมทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ซิตี้แบงก์เล็งเห็นว่าดิจิทัลโซลูชั่นที่ทำให้ภาคธุรกิจและธนาคารสามารถดำเนินธุรกรรมทางการเงินที่รวดเร็วและปลอดภัย ประกอบไปด้วยเรื่องของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ระบบการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบสำเนาที่สามารถเชื่อมต่อกันระหว่างฐานผู้ใช้งาน นอกจากจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเรียลไทม์ได้จากทุกพื้นที่ผ่านเครือข่ายดิจิทัลแล้ว ยังเป็นระบบที่มีความปลอดภัยและความโปร่งใสสูง จากการระบุตัวตนของผู้ใช้งานได้ ทั้งยังสามารถติดตามประวัติการเปลี่ยนแปลงข้อมูล

รวมถึงป้องกันการโจรกรรมข้อมูลจากอาชญากรไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี จึงเป็นเทคโนโลยีที่จะถูกหยิบยกมาใช้เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเงินมากที่สุด นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) อย่างหน่วยเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับซื้อขายสินค้าและบริการ (Digital Currency) และโทเค็น (Token) ที่แสดงสิทธิในการร่วมลงทุนกับโครงการต่าง ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งโซลูชั่นจำเป็นสำหรับธุรกรรมเรียลไทม์ เนื่องจากมีความคล่องตัวสูงกว่าการใช้เงินสดและสินทรัพย์ทั่วไปเป็นอย่างมาก

“ซิตี้แบงก์”

“จากเทรนด์ความต้องการในธุรกรรมแบบเรียลไทม์ในปัจจุบัน ประกอบกับความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลโซลูชั่นของเรา ธนาคารซิตี้แบงก์ได้พัฒนาระบบบล็อกเชนรวมถึงการให้บริการในรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสนับสนุนทุกกิจกรรมทางการเงินของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบริการฝาก-ถอนโดยทั่วไป ไปจนถึงถึงการทำธุรกรรมระหว่างประเทศที่รวดเร็ว โปร่งใส และปลอดภัยขั้นสูงสุด”

“ล่าสุดซิตี้แบงก์เตรียมเปิดตัวบริการใหม่ ‘Citi Express’ ระบบชำระเงินด่วนระหว่างประเทศ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนองค์กรที่ต้องการสร้างการเติบโตของธุรกิจในต่างประเทศ คู่ไปกับการร่วมมือกับพาร์9เนอร์และธนาคารอื่น ๆ เพื่อพัฒนาโซลูชัjนทางการเงินที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องอีกด้วย” นายซานดีฟ กล่าว

นายเดฟ บารัต หัวหน้าสายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยว่า “ปัจจุบันเทรนด์การค้าโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งการเติบโตที่ชะลอตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 1.7% จาก 2.7% ในปี 2565 รวมถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอันนำมาสู่ภาวะสินเชื่อตึงตัว ประกอบกับการยกระดับนโยบายกำกับดูแลการค้าระหว่างประเทศที่เข้มงวดเรื่องความโปร่งใสทางการค้าและการฟอกเงิน ขณะเดียวกัน การมาถึงของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ได้ทำให้ธุรกิจทั่วโลกมีการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ดังนั้น ภาคการค้าในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และการเปลี่ยนผ่านการค้าสู่รูปแบบดิจิทัล (Digitization) เพื่อตอบสนองต่อมาตรการด้านความปลอดภัย และเพิ่มผลลัพธ์การดำเนินงานด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งต้องอาศัยดิจิทัลโซลูชันทั้งสิ้น”

สำหรับการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน ธุรกิจส่วนใหญ่มุ่งสู่การเป็น Supply Chain 4.0 หรือการผสานรวมดาต้า เทคโนโลยี และระบบปฏิบัติการอัตโนมัติทั้งหมดสู่ห่วงโซ่อุปทาน ที่ช่วยสร้างความมั่นคงและความคล่องตัวในการดำเนินงาน ซึ่งตัวอย่างของดิจิทัลโซลูชันที่จะเข้ามามีบทบาทใน Supply Chain 4.0 และพลิกโฉมภาคการค้า เช่น ระบบ OCR การประมวลผลข้อมูลที่สามารถใช้งานได้กับทั้งดวงตามนุษย์และเซ็นเซอร์ของจักรกล ระบบ Document Digitization แปลงสภาพเอกสารให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งสะดวกต่อการตรวจสอบและจัดเก็บ หรือระบบ RFID ที่สามารถติดตามสินค้าและวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นผ่านการตรวจจับจากคลื่นวิทยุ เป็นต้น

ขณะที่การเปลี่ยนผ่านการค้าสู่รูปแบบดิจิทัลแบบเต็มตัว เป็นการโยกย้ายการดำเนินธุรกิจทั้งหมดสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการส่งต่อและวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัท พร้อมยกระดับความปลอดภัยให้แก่องค์กรด้วยโครงสร้างระบบปฏิบัติการ

ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารซิตี้แบงก์ได้สนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่การค้าดิจิทัลแบบครบวงจรได้ โดยการนำร่องแพลตฟอร์ม “CitiDirect” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการดำเนินธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลแบบ 100% นอกจากนี้ยังมีการใช้ดิจิทัลโซลูชั่นกับบริการอื่น ๆ ของธนาคารอย่างครอบคลุม เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ลื่นไหล รวดเร็วและเปี่ยมประสิทธิภาพให้แก่ลูกค้าสถาบันทุกราย

ด้าน นางสาวนฤมล จิวังกูร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ในบริบทของการค้าและการทำธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบัน แค่ความรวดเร็วอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้ให้บริการต้องสามารถอำนวยความสะดวกและลดความเสี่ยงในทุกกิจกรรมให้แก่ผู้ใช้งาน ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่ครบครันและทันสมัย ความเชี่ยวชาญของบุคลากร

ตลอดจนเครือข่ายที่แข็งแกร่งครอบคลุมมากกว่า 180 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลกธนาคารซิตี้แบงก์พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่พาทุกธุรกิจของลูกค้าและคู่ค้า เดินไปข้างหน้าเพื่อการบรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว และปลอดภัย”

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย ได้จัดสัมมนา “Citi Financial Institutions ASEAN Roadshow 2023” เปิดเทรนด์เทคโนโลยีล่าสุดและแนวทางการดำเนินธุรกิจสำหรับภาคการเงิน-การธนาคาร เพื่อสอดรับกับความต้องการธุรกรรมที่รวดเร็วและการเงินรูปแบบดิจิทัลของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน แก่กลุ่มลูกค้าธนาคารและสถาบันการเงิน ณ โรงแรม เชอราตัน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ