ทีทีบีหั่นจีดีพีปีนี้โต 2.8% จับตาหนี้สาธารณะแตะ 65% แซงหน้าเพื่อนบ้าน

ทีทีบี

ttb analytics ปรับลดประมาณการจีดีพีไทยปี’66 เหลือ 2.8% จาก 3.2% และปี’67 เหลือ 3.2% จาก 3.6% มองนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ “ดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาท” หนุนจีดีพีปีหน้าขยายตัว 0.5% ห่วงหนี้สาธารณะเพิ่มแตะ 65% จาก 61.7% ต่อจีดีพี แซงหน้าเพื่อนบ้าน

วันที่ 15 กันยายน 2566 นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics เปิดเผยว่า ศูนย์วิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จากคาดการณ์เดิมอยู่ 3.2% เหลือ 2.8% และในปี 2567 จาก 3.6% เหลือ 3.2% ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.4%

ทั้งนี้ เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนหลัก คือ การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ค่อนข้างดี โดยในครึ่งปีแรกของปี 2566 อยู่ที่ 7% โดยปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 4.5% จากปีก่อน 6.3% ถือว่าเป็นการเติบโตต่อเนื่อง

และการท่องเที่ยวที่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 27.5 ล้านคน และในปี 2567 จะอยู่ที่ 30 ล้านคน แม้ว่านักท่องเที่ยวจะกลับมา แต่ยังไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 โดยนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 70% เท่านั้น และที่เหลืออีก 30% จะมาจากคนจีน ซึ่งตอนนี้มาค่อนข้างน้อยส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สะท้อนจากเดิมนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวต่างประเทศไตรมาสละ 40 ล้านคน ปัจจุบันเหลือเพียง 10 ล้านคน

ขณะที่การส่งออกที่คิดเป็นประมาณ 60% ของจีดีพีชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้หดตัว -5.5% และคาดว่าปีนี้จะหดตัวแน่นอน หรือประมาณ -1.1%

“สิ่งที่เกิดขึ้นคือเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง ผนวกกับเศรษฐกิจจีนชะลอกว่าคาด ก็กระทบส่งออกไทยแรงขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวจากจีนที่คาดว่าจะกลับมามากใกล้ระดับเดิมก็ไม่เป็นไปตามนั้น ก็เลยว้าวุ่น จะเห็นได้จากภาคท่องเที่ยวตอนนี้กลับมาได้ 70% โดย 30% ที่ยังไม่มากส่วนใหญ่ก็เป็นนักท่องเที่ยวจีน นอกจากนี้ยังมีประเด็นเงินเฟ้อที่มีโอกาสจะกลับมาเร่งขึ้นจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และภัยแล้ง ดังนั้น ttb analytics จึงมีการปรับลดประมาณการจีดีพีทั้งของปีนี้และปีหน้า”

นายนริศกล่าวว่า สำหรับนโยบายภาครัฐต่อผลเศรษฐกิจไทยนั้น ในส่วนของการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า (Free Visa) ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน อาจจะมีผลไม่มากนัก เนื่องจากคนจีนยังเข้าไทยไม่มาก คิดเป็น 1 ใน 4 เมื่อเทียบช่วงก่อนโควิด-19 จาก 11 ล้านคนต่อปี เหลือเพียง 3 ล้านคนต่อปี

ขณะที่นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาท เชื่อว่าจะช่วยหนุนการเติบโตเศรษฐกิจปี 2567 ประมาณ 0.5% จากประมาณการจีดีพีอยู่ที่ 3.2% จะเพิ่มเป็น 3.6-3.7%

“ผลต่อการเติบโตจะขึ้นอยู่กับรอบการหมุนของเม็ดเงิน และประเภทสินค้าด้วย เช่น หากซื้อสินค้าบริการก็จะช่วยรอบหมุนเร็วเพิ่มขึ้น กระจายรายได้ จะเป็นตัวคูณได้ดีกว่า แต่หากซื้อสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เป็นเพียงจากย้ายเม็ดเงินของเราไปเป็นเงินของรัฐแจก โดยหากเม็ดเงินหมุนได้ 3-4 รอบ อันนี้จะไม่ช่วยหนุนจีดีพีโตได้ทะลุ 4% ได้”

อย่างไรก็ดี เม็ดเงินที่นำมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาท ซึ่งใช้เงินราว 5.6 แสนล้านบาท โดนที่มาจากเงินกู้จะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีปรับเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 65% จากปัจจุบันอยู่ที่ 61.7% หรือราว 11 ล้านล้านบาท และจะทำให้ชนเพดานที่ 70% ในช่วง 2-3 ปีถัดไป ซึ่งถือว่าสูงกว่าเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์ที่มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% หรืออินโดนีเซียที่ 40%

“แม้ว่าระดับ 65% หรือ 70% จะไม่ได้สูงนัก แต่ก็จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มเข้ามาและเป็นประเด็นที่ต่างชาติจะติดตามต่อไป รวมถึงประเด็นการขาดดุลแฝด ทั้งขาดดุลการคลังและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจากรายได้ท่องเที่ยวที่ไม่พอชดเชยขาดดุลการค้าของภาคท่องเที่ยว โดยปัจจุบันเราขาดดุลการคลังราว 5 แสนล้านบาท หรือราว 3-4% ของจีดีพี ซึ่งหากเราเจอปัญหาขาดดุลทั้ง 2 ด้าน จะทำให้ไทยเป็นประเทศในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่มีความเสี่ยง”

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คาดการณ์จะปรับขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 3 สู่ระดับสูงสุดของวัฏจักร (Terminal Rate) ที่ 2.5% ก่อนจะคงที่ในระดับดังกล่าวต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2567 เป็นอย่างน้อย เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ที่ยังมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งขึ้นในระยะต่อไป

ขณะที่ค่าเงินบาทในระยะต่อไปมีแนวโน้มผันผวนสูงและอ่อนค่าได้ในระยะสั้น ตามการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี เงินบาทยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้างหลังเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ความชัดเจนทางการเมือง โดยคาดว่าค่าเงินบาทในกรอบ 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2566

“เรามองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งอีก 0.25% มาอยู่ 2.50% ส่วนแบงก์จะเห็นว่ามีการส่งผ่านนโยบาย แต่ที่ผ่านมามีการปรับดอกเบี้ยเงินฝากค่อนข้างมาก”