สงครามการค้าหนุนทองคำ แต่ถูกกดดันจากเฟดขึ้นดอกเบี้ย

คอลัมน์ สถานีลงทุน

โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

ราคาทองคำปรับ “ลดลง” จากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% มาสู่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเดือนมีนาคม

แต่ทว่าความไม่แน่นอนในสถานการณ์การเมืองของสหรัฐที่มีความแตกแยกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลับต้องพบความแตกแยกมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้ใช้มาตรการกีดกันการค้าโดยเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอะลูมิเนียมในอัตรา 10% ยกเว้นเพียงแคนาดาและเม็กซิโก โดยไม่สนโลกเลยว่าจะมีผู้ใดหรือประเทศไหนจะสนับสนุนต่อนโยบายการค้าของเขาหรือไม่ และการบังคับใช้นโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ก็ได้สร้างความแตกแยกขึ้นมาจริง ๆ หลังจากที่มีผู้ออกมาคัดค้านมากมายทั้งภายในและภายนอกประเทศ

“อเมริกาต้องมาก่อน”

จากการประกาศใช้มาตรการกีดกันการค้าโดยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมนั้น ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นกับคู่แข่งต่างประเทศ แต่ทว่าก็ย่อมส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมการผลิตที่นำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมมาผลิตสินค้า เช่น รถยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น เป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ประกอบการและราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นในที่สุด ที่สำคัญอาจจะก่อให้เกิดสงครามการค้าได้ หากหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรป จีน ได้ใช้มาตรการกีดกันการค้าโดยการปรับเพิ่มภาษีเช่นเดียวกันกับที่สหรัฐทำ เพื่อเป็นการตอบโต้ทางด้านนโยบายการค้ากลับ อาทิ สหภาพยุโรป จีน เป็นต้น

การที่สหรัฐประกาศใช้มาตรการกีดกันการค้าเพื่อลดปัญหาการขาดดุลการค้าและสอดคล้องกับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้หาเสียงไว้ และยึดหลักว่า “อเมริกาต้องมาก่อน” ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยให้สัญญาไว้ ทั้งนี้สหรัฐเป็นประเทศที่ประสบปัญหาการขาดดุลการค้ามากที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี 2518 โดยในปี 2560 สหรัฐมีการขาดดุลการค้าสูงถึงระดับ 566 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่การใช้มาตรการกีดกันในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เรียกเก็บการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเท่านั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์

ทรัมป์ ยังพุ่งเป้าไปยังจีนที่จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในสินค้ากลุ่มไอทีและสินค้าเพื่อผู้บริโภค หรือนี่อาจเป็นนัยของประธานาธิบดีสหรัฐที่ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าสงครามการค้าอาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุด โดยปี 2560 มีการขาดดุลการค้ากับจีนถึง 375 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

หากเกิดสงครามการค้า

ประเด็นเรื่องสงครามการค้า คาดว่ายังคงเป็นประเด็นที่ยังคงต้องติดตามต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าหลายประเทศทั่วโลกจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเพื่อเป็นการโต้ตอบทางด้านการค้า ซึ่งทางด้านสหภาพยุโรปก็พิจารณาเรียกเก็บภาษีสินค้าแบรนด์ดังของอเมริกา อย่างเช่น จักรยานยนต์ยี่ห้อฮาร์เลย์-เดวิดสัน และกางเกงยีนส์ยี่ห้อลีวายส์ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐทวีตข้อความตอบโต้จะเก็บภาษีรถยุโรปผลิตในสหรัฐที่ส่งออกไปขายทั่วโลกหากว่าสหภาพยุโรปตัดสินใจเรียกเก็บภาษีสินค้าแบรนด์ดังของอเมริกา

ในขณะที่จีนซึ่งเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ที่ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีสหรัฐจะพุ่งเป้าไปนั้น แม้ว่าจีนจะประกาศว่าไม่ต้องการทำสงครามการค้า แต่จีนคงไม่นิ่งดูดายที่จะไม่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติเป็นแน่ ซึ่งจีนก็อาจเตรียมพร้อมรับมือกับการเล่นเกมของสหรัฐ ทั้งนี้จีนมีตลาดภายในประเทศที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรจำนวนมาก อีกทั้งจีนมีความได้เปรียบจากการที่เป็นประเทศที่มีการส่งออกสินค้าด้วยต้นทุนต่ำ ซึ่งอาจจะส่งผลให้สหรัฐมีความเสียเปรียบทางการค้ามากกว่าจีน

สุดท้ายแล้วสงครามการค้าจะไม่มีใครได้ผลประโยชน์และจะกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐเองด้วยซ้ำ รวมทั้งกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาวให้ชะลอตัวลง หลังจากที่ในปีนี้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกที่เติบโตดีขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้นโยบายการคลัง ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงต้นปีนี้ปรับขึ้นแรงกันทั่วหน้า

จากประเด็นความไม่แน่นอนในเรื่องสงครามการค้า ทำให้มีแรงเทขายในตลาดหุ้น ขณะที่เป็นปัจจัยหนุนต่อราคาทองคำ อย่างไรก็ดีการปรับขึ้นของราคาทองคำอาจยังมีกรอบที่จำกัด ความคาดหวังว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะปรับลงแรงและมีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐมายังตลาดทองคำอาจจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากคาดการณ์ว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐจะมีการซื้อหุ้นของบริษัทตนเองจากการที่มีเงินสดในมือเหลือ ซึ่งเป็นผลมาจากการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลของสหรัฐจาก 35% เหลือ 21%

สำหรับการลงทุนใน “ทองคำ” เน้นกลยุทธ์ “ปรับฐานลงมาเข้าซื้อ” โดยมีจุดเข้าซื้อที่ 1,290 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญด้านเทคนิคเนื่องจากเป็นแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง ถ้าหลุดแนวรับดังกล่าวราคาทองคำจะกลับเป็นขาลงได้ ขณะที่มีแนวต้านที่ 1,330 และ 1,340 ดอลลาร์ที่เป็นจุดแนะนำ “ขายทำกำไร”