คลังตั้งกองทุน TESG ชง ครม. 21 พ.ย.นี้ หักลดหย่อนภาษีได้ 1 แสนบาท

ลวรณ แสงสนิท
ลวรณ แสงสนิท

คลังเคาะตั้งกองทุนภาษีตัวใหม่ TESG ชง ครม. 21 พ.ย.นี้ ให้สิทธิหักลดหย่อนภาษี 1 แสนบาท ใช้ได้ทันภาษีปี 2566 แยกจาก RMF-SSF ล็อกลงทุนยาว 8 ปี เน้นลงทุนในหุ้นไทยกลุ่ม ESG-บอนด์ยั่งยืน  สั่งการ ก.ล.ต. ออกกกฎเกณฑ์ให้จบภายใน 2 วัน คาดเริ่มซื้อกองทุนได้ต้นดือน ธ.ค. หวังเม็ดเงินไหลเข้าซื้อกองทุน 10,000 ล้านบาท กรมสรรพากรคาดสูญเสียรายได้ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ว่า จากการหารือได้ข้อสรุปในการจัดตั้งกองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่ โดยจะใช้ชื่อว่า Thailand ESG Fund:TESG เพื่อวัตถุประสงค์การออมในระยะยาว

มีเป้าหมายมุ่งเน้นให้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ไทยที่เป็นธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งในเบื้องต้นจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในดัชนี SETTHSI และ SETESG รวมกันอยู่ประมาณ 210 บริษัท จากทั้งหมดกว่า 800 บจ. ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เงื่อนไขของกองทุน TESG จะมีวงเงินลดหย่อนภาษีก้อนใหม่จำนวน 1 แสนบาท แยกจากกองทุน RMF และกองทุน SSF ที่เดิมมีวงเงินลดหย่อนภาษีรวมกัน 5 แสนบาท กำหนดระยะเวลาลงทุน 8 ปีเต็ม (10 ปีปฏิทิน)

และเนื่องจากเห็นความจำเป็นถึงโอกาสที่ดีที่จะออกได้เร็ว โดยกรมสรรพากรจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ทันกับการใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีในปี 2566 คือสามารถซื้อกองทน TESG ได้ปลายปีนี้และนำไปหักลดหย่อนภาษีได้เลยในรอบเดือน มี.ค. 2567

ชง ครม. 21 พ.ย. 2566

โดยจะเสนอกฎหมายออกเป็นกฎกระทรวง ซึ่งเป็นความร่วมมือจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่จะต้องออกหลักเกณฑ์เรื่องกองทุน TESG มาให้กับกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องให้เสร็จภายใน 2 วันนี้ และกรมสรรพากรจะทำเรื่องนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนภายในวันศุกร์นี้ (17 พ.ย. 2566) เพื่อจะนำเรื่องนี้เข้าเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในวันอังคารที่ 21 พ.ย. 2566 โดยคาดว่าจะให้เริ่มซื้อกองทุนได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2566 เบื้องต้นภายในระยะเวลา 1 เดือน คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าซื้อกองทุนดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท

“เชื่อว่ากองทุนตัวนี้จะเป็นแรงหนุนให้ บจ.รายอื่น ๆ สนใจจะเข้าเกณฑ์ ESG เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต ซึ่งไม่ใช่บริษัทใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่บริษัทเอสเอ็มอีก็เป็นบริษัทที่มี ESG ที่ดีได้ เราไม่ได้ปิดกั้น และเชื่อว่าจะตอบโจทย์ประเทศไทยที่จะเข้าร่วมในกติกาโลกที่มุ่งไปสู่ความเป็นกรีน ฉะนั้นแนวทางนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งการส่งสัญญาณว่าเรามีเครื่องมือที่จะตอบโจทย์ความเป็นกรีนในเรื่องของตลาดทุน” ปลัดคลัง กล่าว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เชื่อว่าเมื่อรัฐบาลให้ความใส่ใจเรื่อง ESG ก็จะทำให้บริษัทต่าง ๆ ยกระดับการทำ ESG ขึ้นมามากขึ้น รวมถึง ESG Bond ด้วยที่จะเกิดขึ้นมากขึ้น ซึ่งมองว่าสำหรับประเทศไทยถือเป็นก้าวที่สำคัญที่เป็นกลไกของรัฐบาลและกระทรวงการคลังที่ได้มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ เพื่อบอกต่อโลกได้ว่าไทยมีความใส่ใจเรื่อง ESG

และทำให้ตลาดทุนไทยมีการลงทุนประเภท Long Term Investment ซึ่งต้องขอบคุณภาครัฐที่จะดำเนินให้ได้อย่างรวดเร็วภายในปลายปีนี้ที่จะสามารถลงทุนได้เลย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปีแรกมีเวลาจำกัดแค่ 1 เดือน จึงคาดหวังเม็ดเงินเข้ามาซื้อกองทุนจะมีประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และตลาดทุนจะไปเร่งประชาสัมพันธ์ เพราะตอนนี้มีเวลาไม่ถึงเดือนที่จะลุยทำเรื่องนี้ได้ แต่หลังจากนั้นปีถัด ๆ ไป เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินที่ไหลเข้าซื้อกองทุน TESG เพิ่มมากขึ้นคล้าย ๆ กับช่วงที่มีกองทุน LTF ตามความสนใจของนักลงทุน และมีบริษัทต่าง ๆ ที่มุ่งสู่การทำเรื่อง Net Zero

นายกอบศักดิ์กล่าวอีกว่า เนื่องจากเป็นการหารือร่วมกันครั้งแรกกับกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ดี หลังจากนี้จะมีการนำเสนอมาตรการการออมเพื่อการศึกษาของเด็ก และการกลับมาทบทวนเงื่อนไขกองทุน SSF ซึ่งจะหมดอายุในปี 2567 รวมไปถึงอยากพูดคุยการกำกับดูแลให้ตลาดทุนมีความเข้มงวดมากขึ้นจากผลกรณี บมจ.มอร์ รีเทิร์น (MORE) และ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK)

นอกจากนี้จะหารือเรื่องตัวกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund : IFF) เพราะเชื่อว่ารัฐบาลคงจะมีการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้นในอนาคต และสุดท้ายพยายามหามาตรการให้ตลาดทุนมีส่วนช่วยสังคมเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสอดรับนโยบายของนายกรัฐมนตรีในการช่วยเหลือคนตัวเล็ก

สรรพากรคาดสูญเสียรายได้ 10,000 ล้านบาท

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ประเมินว่าจากการให้สิทธิลดหย่อนภาษีกองทุน TESG จะทำให้ในแต่ละปีรัฐบาลจะสูญเสียรายได้ไปประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากเป็นเทรนด์อนาคตสำหรับประเทศไทยเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภาครัฐพร้อมที่จะสนับสนุนเรื่องนี้

“เราประเมินการสูญเสียรายได้เต็มปีในอัตราที่ใกล้เคียงกับเมื่อช่วงที่ให้สิทธิทางภาษีกับกองทุน LTF” นางสาวกุลยากล่าว

นางสาวชวินดา หาญตระกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) กล่าวว่า กฎเกณฑ์และเงื่อนไขจากสำนักงาน ก.ล.ต. จะเสร็จภายในสิ้นสัปดาห์นี้ เพื่อที่จะนำเสนอเข้า ครม. และให้กฤษฎีกาอนุมัติออกมาได้เร็ว โดยระหว่างทางจะเป็นการทำงานแบบคู่ขนานระหว่างสมาคม บลจ. สำนักงาน ก.ล.ต. และกรมสรรพากร ดังนั้นจะไม่มีการรอ

เบื้องต้นพูดคุยกับสำนักงาน ก.ล.ต. คาดว่ากระบวนการทุกอย่างน่าจะต้องเสร็จภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ เพราะเหลือเวลาการขายเพียงแค่ 1 เดือน ซึ่งช่วงเดือน ธ.ค. มีวันหยุดมาก ถ้าจะไปเริ่มขายกลางเดือนก็จะไม่มีผล แต่ถ้าจะให้มีผลต่อเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาซื้อกองทุนราว 10,000 ล้านบาท จะต้องเริ่มตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค.นี้เลย

“ตอนนี้ทาง บลจ.จะต้องเขียนโครงการขึ้นมาเพื่อรองรับกองทุน TESG โดยเฉพาะ ซึ่งจะล้อไปกับกติกาของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่จะประกาศออกมา รวมถึงไปทำระบบรองรับกองทุน TESG ที่จะต้องมีประโยชน์ทางภาษีด้วย ดังนั้นต้องทำทั้งสองเรื่องไปพร้อม ๆ กัน”

ตอนนี้แต่ละ บลจ.คงประเมินเม็ดเงินเข้ามายาก แต่ถ้าเป็นภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุน ในระยะอันสั้นคาดหวังเม็ดเงินโดยรวมราว 10,000 ล้านบาท ส่วนในระยะยาวจะเห็นเม็ดเงินเท่ากับช่วงที่มีกองทุน LTF ได้หรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่ว่ากองทุน TESG จะเรียกความสนใจจากนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะนักลงทุนใหม่ ๆ เพราะจำนวนคนที่เข้ามาลงทุนเป็นมุมที่จะช่วยทำให้เม็ดเงินมีขนาดใหญ่ขึ้น

เพราะฉะนั้นคาดหวังจำนวนนักลงทุนใหม่ ๆ เกิดขึ้น เนื่องจากคนออมและลงทุนในตลาดทุนมีแค่ไม่ถึง 10% ของประเทศ ซึ่งยังต่ำเกินไป จึงต้องการฐานนักลงทุนใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้ประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ