แฝดคนละฝา Default กับ NPL

หุ้นกู้เสี่ยงสูง
บทความโดย "สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย"

 

วันที่ 19 มกราคม 2567 ต้องยอมรับว่าข่าวการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทต่าง ๆ ที่มีมาเป็นระยะ ย่อมทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย

โดยจะว่าไปการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ (Default) ก็ไม่ต่างอะไรกับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ นั่นคือ ลูกหนี้ไม่สามารถคืนเงินได้เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้

จะต่างกันตรงที่เจ้าหนี้ สำหรับตราสารหนี้ เจ้าหนี้จะเป็นนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ทั้งนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายใหญ่ (HNW) และนักลงทุนบุคคลธรรมดาทั่วไป ดังนั้นการผิดนัดชำระตราสารหนี้จะทำให้นักลงทุนได้รับผลกระทบโดยตรงในทันที

แต่เจ้าหนี้ NPL จะเป็นธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง ซึ่งก็จะมีนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ร่วมมีส่วนได้เสียกับธนาคารพาณิชย์

ได้แก่ นักลงทุนที่เป็นผู้ถือหุ้น และประชาชนผู้ฝากเงิน หนี้ NPL ย่อมมีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียของธนาคารพาณิชย์ เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบในทันที และผลกระทบอาจไม่เห็นชัดเจน หากธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารจัดการ NPL ได้ไม่ถึงกับทำให้ธนาคารต้องปิดกิจการ

สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้นี้ย่อมทำให้ผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้มีส่วนได้เสียจะได้รับย่อมลดน้อยลงกว่าการที่ไม่มี NPL เช่น ผู้ถือหุ้นย่อมได้เงินปันผลน้อยลง และราคาหุ้นอาจไม่ปรับตัวสูงขึ้นนัก ประชาชนผู้ฝากเงินย่อมถูกกดดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในทางอ้อมไม่เห็นอย่างชัดเจน

นักลงทุนและประชาชนจึงไม่ตื่นตระหนกกับ NPL เหมือนกับการผิดนัดชำระตราสารหนี้

Default หรือ NPL ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนที่มีความเสี่ยง เพียงแต่ตราสารหนี้ไทยเพิ่งเกิดขึ้นมาได้ไม่นานนัก ถือได้ว่าเป็นน้องเล็กสุดในบรรดาช่องทางการระดมทุนทั้ง 3 วิธี คือ 1.สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ 2.การระดมทุนผ่านตลาดหุ้น และ 3.การระดมทุนผ่านตราสารหนี้

ซึ่งที่ผ่านมามีการผิดนัดชำระหนี้น้อยมากจนอาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดได้ว่า การลงทุนในตราสารหนี้ไม่มีความเสี่ยง นักลงทุนจะได้รับเงินต้นและดอกเบี้ยคืนเสมอ นักลงทุนจึงไม่ระมัดระวังเท่าใดนัก ดูแต่เพียงอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วเท่านั้นในการลงทุนตราสารหนี้

การผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้แม้ว่าจะทำให้บรรยากาศการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ชะงักไปบ้าง นักลงทุนจำนวนไม่น้อยได้รับความเดือดร้อน สามารถใช้เป็นโอกาสในการศึกษา ทำความเข้าใจการลงทุนในตราสารหนี้ หลายอย่างที่นักลงทุนได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ Default ในช่วงนี้พอจะสรุปได้ดังนี้

1.การผิดนัดชำระเป็นเรื่องปกติของการลงทุนที่มีความเสี่ยงซึ่งรวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ 2.การลงทุนในตราสารหนี้ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐาน 3 ประการ คือ

  • อายุคงเหลือของหุ้นกู้ (TTM : Time-to-Maturity)
  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่อายุคงเหลือเท่ากัน (Government bond yieldat given TTM)
  • ส่วนชดเชยความเสี่ยง หรือ ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้จากพันธบัตรรัฐบาล (Credit spreadover government bond) ที่ขึ้นอยู่กับอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหรือหุ้นกู้ นักลงทุนสามารถติดตามอ่านได้จากบทความ “จะซื้อหุ้นกู้ต้องดู Credit Spread” ที่สมาคมตลาดตราสารหนี้จัดทำไว้

นอกเหนือจาก 3 ปัจจัยหลักนี้แล้ว จากเหตุการณ์ Default ที่เกิดขึ้นในรอบนี้พบว่า สาเหตุการผิดนัดชำระจะเป็นเหตุผลเฉพาะตัวของแต่ละบริษัท ที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการบริหาร ดังนั้นนักลงทุนอาจพิจารณาถึงประวัติการบริหารงาน หรือพฤติกรรมการบริหารที่ผ่านมาของผู้บริหารระดับสูงของแต่ละบริษัทเพิ่มเติมด้วย ที่อาจจะสะท้อนให้เห็นถึงจรรยาบรรณได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถสะท้อนได้จากอันดับเครดิต