ต้องรู้ ! VAT จดผิดชีวิตเปลี่ยน

บทความโดย “สรวงพิเชฏฐ์ หลายชูไทย” 
นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

 

วันที่ 11 มีนาคม 2567 ปฏิเสธไม่ได้ว่าใคร ๆ ก็ต้องการร่ำรวย หรือมีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่แน่นอนสิ่งที่ตามติดมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือภาษี และภาษีประเภทหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจหวาดกลัว คือ VAT หรือ ValueAdded Tax ที่สำคัญหากไม่เข้าใจและเตรียมการรับมือให้ดี เงินที่เก็บมาหลายปีอาจหายไปจนหมดสิ้นในเวลาสั้น ก็เป็นได้ จึงต้องเรียนรู้แนวทางการรับมือ เพื่อไม่ต้องมาเสียใจ ดังคำกล่าวที่ว่า รู้อะไรไม่สู้ รู้งี้

VAT เป็นภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นการผลิต ตลอดการจำหน่าย หรือการให้บริการ หรือเป็นภาษีที่เก็บกับผู้บริโภครายสุดท้าย โดยมีข้อควรรู้และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการจด VAT ดังนี้

  • VAT นั้นเก็บจากรายได้ ไม่ใช่กำไร
  • รายได้บางประเภทได้รับการยกเว้น VAT เช่น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) อย่าง เงินเดือน โบนัส เป็นต้น
  • ทั้งบุคคล และนิติบุคคล ล้วนต้องจด VAT หากรายได้ถึงเกณฑ์
  • เกณฑ์ดังกล่าคือ หากมีรายได้จากการขายสินค้าหรือการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องเข้าสู่กระบวนการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละเดือนนับแต่นั้นเป็นต้นไป
  • ในประเทศไทยได้กำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ที่ 10% แต่ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีจะออกพระราชกฤษฎีกา ลดภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือ 7% เป็นประจำทุกปี ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า VAT บ้านเราคือ 7%

โดยขั้นตอนการจด VAT และหน้าที่ต่าง ที่ต้องทำหลังอยู่ในเกณฑ์ต้องเสีย มีดังนี้

  1. จดทะเบียน ภ.พ.01 ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่รายได้เกิน 1.8 ล้านบาท
  2. เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน (สามารถดูได้จากข้อมูลในเว็บของทางสรรพากร)
  3. หลังจากจด VAT เรียบร้อย ท่านจะได้เอกสารที่ชื่อ ภ.พ.20 ซึ่งเป็นเอกสารหลักฐานที่แสดงถึงการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยจะต้องเก็บเจ้า ภ.พ.20 นี้ไว้ที่สำนักงาน หากมีเจ้าหน้าที่สรรพากรเข้ามาตรวจสอบที่สถานประกอบการเรา มักจะขอดูเอกสารตัวนี้ รวมถึงยังใช้ในกรณีต่าง ๆ เช่น การขอกู้กับธนาคาร อีกด้วย
  4. เมื่อจดแล้ว หากมีการขายจะต้องออกใบกำกับภาษีขาย หากมีการซื้อต้องรับใบภาษีซื้อ และทำรายงานสรุปไว้
  5. มีการยื่นแบบ .พ.30 ภายในทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

บทลงโทษของการจด VAT ล่าช้า

  • ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ต้องเสียค่าปรับเป็น 2 เท่า ของภาษีที่จะต้องชำระนับตั้งแต่วันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านต่อปี ในแต่ละเดือนภาษี
  • ต้องเสียเงินเพิ่ม 1.5 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน ถ้าเศษของเดือนก็จะถูกนับเป็นอีก 1 เดือน
  • ไม่สามารถนำภาษีซื้อที่เกิดในเดือน ก่อนที่จะจด VAT นั้นมาหักภาษีขายได้

หลายคนอาจรู้สึกว่าไม่ได้มีบทลงโทษมากมายอะไร แต่หากมีรายได้ 1.8 ล้านบาท หรือประมาณเดือนละ 150,000 บาท แล้วไม่ไปยื่นจด VAT และเมื่อถึงสิ้นปีที่ 2 รายได้ 1.8 ล้านบาทจะมีภาระภาษี + เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มสูงสุดถึง 400,000 บาท และหากยังคงไม่ได้จด VAT ต่อในสิ้นปีที่ 3 ตัวเลขภาระภาษี + เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มนี้จะสูงขึ้นไปถึกว่า 900,000 บาท

สำหรับคนที่กำลังจะเริ่มจด VAT และประเมินว่ากิจการน่าจะมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็สามารถเลือกจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงเริ่มต้นกิจการ ซึ่งจะมีประโยชน์ ดังนี้

  1. กิจการได้ใช้สิทธิขอคืนภาษีซื้อ สำหรับค่าสินค้า หรือค่าใช้จ่ายในช่วงเริ่มดำเนินการ การจด VAT ทำให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการจะได้ประโยชน์จากการนำภาษีซื้อไปใช้เพื่อลดภาระภาษี
  2. กิจการมีระบบการทำบัญชีการซื้อขายที่ดีขึ้น และสร้างความน่าเชื่อถือ
  3. กิจการได้ยอดขายเพิ่มจากนโยบายของรัฐ กรณีมีแคมเปญภาษี เช่น ช้อปดีมีคืน เป็นต้น

สำหรับคนที่จด VAT ไปแล้ว และกำลังอยากที่จะออกจากระบบ VAT ก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยการขอออกจาก VAT โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องมียอดขายต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ติดต่อกัน ถึงจะมีสิทธิขอให้อธิบดีสั่งถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้

โดยสรุป หากมีการบริหารจัดการรายได้และภาษีที่ดีและทำอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ระบบ VAT หรือการออกจากระบบ VAT ก็จะสามารถทำได้อย่างราบรื่นและสบายใจในการทำธุรกิจอย่างโปร่งใส