ศูนย์วิจัยแบงก์ แห่ปรับลดประมาณการจีดีพีปี’67 เหลือโตต่ำกว่า 3% หลังเศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง-ฟื้นตัวช้าเปราะบาง-งบประมาณภาครัฐล่าช้า ฉุดการเติบโต
วันที่ 14 มีนาคม 2567 ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตช้า เปราะบาง และไม่แน่นอน โดยนอกจากเผชิญปัญหาโครงสร้างภายในประเทศแล้ว ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างต่างประเทศด้วย ทั้งในส่วนของปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และปัญหาซัพพลายเชนของโลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทย
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
โดยประเด็นดังกล่าวนำมาสู่คำว่า “3 ลด” คือ 1.เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นเติบโตลดลง โดย EIC ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2567 จากเดิม 3% เหลือ 2.7% ซึ่งเป็นการปรับตามศักยภาพการเติบโตที่ลดลง และ 2.ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential Growth) ลดลง ซึ่งในช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2560-2562 ระดับศักยภาพของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.4% และคาดการณ์ระยะยาวในปี 2567-2588 ระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยจะเหลือเพียง 2.7%
และ 3.การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) เมื่อเศรษฐกิจระยะสั้นโตช้า และศักยภาพทางเศรษฐกิจระยะยาวลดลง จึงนำมาสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดย EIC คาดการณ์ว่า กนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้ จาก 2.50% ต่อปี เหลือ 2.00% ซึ่งจะปรับครั้งแรกในการประชุมวันที่ 10 เมษายนนี้ และอีกครั้งในเดือนมิถุนายน
โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวเป็นการปรับดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว (Neutral Rate) ที่ต่ำลง ซึ่ง EIC ประเมินว่า Neutral Rate ของไทยได้ลดต่ำลงมาอยู่ที่ราว 2.13% จากระดับเดิม 2.52%
“การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องของปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่จะเป็นการเอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนที่จะสร้างจุดคุ้มในระยะยาว แต่การลดดอกเบี้ยดังกล่าวจะต้องทำควบคู่กับการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือสินเชื่อด้วย เพื่อให้เกิดการลงทุน แต่หากลดดอกเบี้ยเพื่อไม่กระตุ้นการบริโภคไม่มีความจำเป็น รวมถึงไทยจะต้องออกไปหาพันธมิตร (Partner) ข้างนอก ซึ่งการเจรจาไม่ได้เป็นการขยายตลาดใหม่ แต่เป็นการเจรจาเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิต”
กสิกรไทย เฉือนจีดีพีเหลือ 2.8%
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวต่ำกว่าคาด โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับลดประมาณการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ 2.8% จาก 3.1% เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่โมเมนตัมยังแผ่วลง รวมถึงภาคการผลิตที่ยังหดตัวต่อเนื่อง และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังหดตัวหลายเดือนติดต่อกัน
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงหนุนจากการกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐบาลและการส่งออกสินค้าที่คาดว่าขยายตัว 2% และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีโอกาสโตถึง 36 ล้านคนในปีนี้
นอกจากนี้ ประเด็นที่ต้องติดตามและมีผลต่อเศรษฐกิจ จะเป็นเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่คาดว่าจะออกมาในเดือนเมษายนนี้ จะสามารถเร่งลงทุนได้เร็วขนาดไหน เพราะเหลือเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น ซึ่งหากเทียบในอดีตการลงทุนสามารถเบิกจ่ายได้ประมาณ 60% ดังนั้น ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจึงมีเป็นประเด็น Down Side Risk ที่ต้องติดตาม
“การเติบโตของเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ เพราะมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งเราต้องสร้าง Engine of Growth ใหม่ เพราะเราส่งออกสินค้าเก่า ดังนั้น เราต้องปรับโมเดลการเติบโต และต้องปรับทั้งองคาพยพ”
CIMBT ชี้ 3 ปัจจัยฉุดจีดีพีโต 2.3%
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567 ลงเหลือ 2.3% จากเดิมมองไว้ที่ 3.1% ซึ่ง GDP 2.3% เป็นระดับที่ต่ำมากอีกปีหนึ่ง เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก การบริโภคคนไทยซบเซา การลงทุนภาครัฐทรุดตัว และการส่งออกฟื้นตัวช้า
การบริโภคของคนไทยเผชิญความเสี่ยงมากกว่าที่คาด โดยครึ่งแรกของปี 2567 เริ่มเห็นสัญญาณอ่อนตัวของการใช้จ่ายของครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายโดยทั่วไปในการชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ครัวเรือนฟื้นตัวช้า แม้ว่าการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาจะสนับสนุนการใช้จ่ายได้บ้าง แต่ยังกระจุกตัวแค่บางทำเล บางธุรกิจ
ขณะที่ภาคการเกษตรอ่อนแอจากการชะลอตัวของการจ้างงานในภาคการผลิต แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่าสุดของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในบริการและสินค้าไม่คงทนเป็นการชั่วคราว แต่ก็น่าจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากรายได้ที่อ่อนแอ
การลงทุนภาครัฐ แม้ทราบกันดีอยู่แล้วว่าภาครัฐยังไม่ผ่านเรื่องงบประมาณจนถึงเดือนพฤษภาคม แต่จากการพิจารณาตัวเลขเดือนต่อเดือนเห็นชัดว่า การลงทุนภาครัฐทรุดตัวหนักกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า การใช้จ่ายงบฯต่าง ๆ ล่าช้า กระทบความเชื่อมั่นของเอกชน อาจทำให้เอกชนชะลอการลงทุน โดยเฉพาะภาคก่อสร้างที่มีการกระจายเม็ดเงินสูง หากชะลอตัวต่อเนื่องจนถึงเดือนเมษายนจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวหนักกว่าที่คาด การขาดการลงทุนสาธารณะคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในทางลบเพิ่มเติม
การส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด จากการที่ประเทศไทยไม่ได้รับประโยชน์มากจากการฟื้นตัวของตลาดโลก เพราะปัจจัยต่างประเทศมีความผันผวน ทั้งตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก กระทบการส่งออก และกระทบไปสู่การผลิตในประเทศ ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว เฟดอาจเลื่อนปรับดอกเบี้ยนโยบายจากพฤษภาคมเป็นมิถุนายน ทำให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้บาทอ่อนค่า
กรุงศรีฯ คาดโต 2.7% ชี้ใช้จ่ายภาครัฐพระเอก
ดร.พิมพ์นารา หิรัญกสิ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัว 2.7% สูงกว่าปี 2566 ที่ขยายตัวเพียง 1.9% โดยเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนจะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีวงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 9.3% จากงบประมาณปีก่อน จะได้รับการอนุมัติภายในไตรมาสที่ 2/2567 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้การบริโภคกลับมาขยายเป็นบวกที่ 1.5% และการลงทุนภาครัฐขยายตัว 2.4%
ขณะเดียวกัน การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะเติบโต 3.3% ส่วนหนึ่งได้รับผลบวกจากการใช้จ่ายภาครัฐ และตามการเติบโตของภาคบริการ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยในปี 2566 จะเห็นว่าปีก่อนมีผู้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีอัตราการเติบโต 43% โดยจะเห็นเม็ดเงินการลงทุนจริงในปีนี้ โดยเฉพาะการลงทุนจากจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เป็นหลัก
ขณะที่การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้อยู่ที่ 35.6 ล้านคน จากปีก่อนอยู่ที่ 28.2 ล้านคน ซึ่งในเดือนมกราคม 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา 1 ล้านคน เป็นคนจีน 5 แสนล้านคน สะท้อนว่าจีนกำลังจะกลับมามากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการฟรีวีซ่า และการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ส่งผลต่อมายังการบริโภคและการจ้างงานที่ปรับดีขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.1% อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง 90% ต่อจีดีพี และกดดันให้การบริโภคขยายตัวไม่เต็มที่
กรุงไทย ชี้ เศรษฐกิจฟื้นตัวเปราะบางโตได้ 2.7%
Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า สภาพัฒน์คาดจีดีพีปี 2567 ขยายตัวได้จำกัด สอดคล้องกับมุมมองของ Krungthai COMPASS ที่ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจฟื้นตัวได้ แต่ยังอ่อนแอ โดยสภาพัฒน์ระบุว่า จีดีพีไทยปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.9% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจไทยปีที่ผ่านมาเติบโตในระดับต่ำ (คาดไว้ที่ 1.8%)
ส่วนในปี 2567 นั้น สภาพัฒน์คาดว่าอาจเติบโตในช่วงประมาณการ 2.2-3.2% (ค่ากลาง 2.7%) เป็นไปในทางเดียวกับ สศค. ซึ่งประเมินไว้ที่ 2.8% ตลอดจนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วง 2.5-3.0% (ค่ากลาง 2.8%) และสอดคล้องกับมุมมองของ Krungthai COMPASS ที่ 2.7% เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มฟื้นตัวเปราะบางและเติบโตได้ค่อนข้างต่ำ
KKP มองโต 2.6% ไทยเจอปัญหาเชิงโครงสร้าง
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตได้ที่ระดับ 2.6% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 3.7% (การประมาณการที่ไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet ก่อนหน้านี้คือ 2.9%) และคาดว่าเศรษฐกิจจะโต 2.8% ในปี 2568 ตามแนวโน้มศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเริ่มลดต่ำลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง
โดยการปรับประมาณการเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 3 เรื่องคือ 1.การนำผลของนโยบาย Digital Wallet ออกจากกรณีฐานในการประมาณการเศรษฐกิจ จากความไม่ชัดเจนและความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบาย 2.การปรับตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมลง เพื่อสะท้อนปัญหาสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูงกว่าปกติ และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง
3.รายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ปรับตัวลดลงต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 มาก และมีแนวโน้มยังไม่กลับมาปกติ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถโตได้ดีขึ้นในช่วงครั้งหลังของปี 2567 เมื่อการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่จะกลับมาชดเชยการชะลอตัวในช่วงก่อนหน้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมและระดับสินค้าคงคลังกลับเข้าสู่ภาวะปกติ