ตลท.ชี้ “สงครามการค้า-ราคาน้ำมันโลก” ปัจจัยเสี่ยงหลักหุ้นไทยปีนี้

แฟ้มภาพ

ตลาดหลักทรัพย์ฯคาดปีนี้หุ้นไทยผันผวนลดลง เหตุไม่มีปัจจัยใหม่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับตลาด ชี้ “สงครามการค้าสหรัฐกับจีน และราคาน้ำมันตลาดโลก” ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก เชื่อเลื่อนเลือกตั้งกระทบน้อย เหตุยังมีความชัดเจนว่ามีเลือกตั้ง

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ปีนี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีความผันผวนลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดเหมือนปีก่อน ที่เกิดสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ รวมทั้งทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดโลก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้สภาพคล่องหายไปจากตลาดหุ้นอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามปัจจัยเหล่านี้ประเมินว่า ในปี 62 ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทั้งการขึ้นดอกเบี้ย และสภาพคล่องที่ลดลง แต่ถ้ามองประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และราคาน้ำมันในตลาดโลก คาดว่า 2 ปัจจัยนี้ยังสร้างความไม่แน่นอน และอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวนอยู่ ส่วนประเด็นการเมืองของไทย แม้จะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป 1 เดือน แต่มองว่าอย่างน้อยมีความชัดเจนที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้นปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จึงค่อนข้างต้องให้น้ำหนัก เมื่อดูภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 61 ที่ยังแข็งแรง ทั้งการเงินและการคลัง รวมถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ไม่มีปัญหา

หากพิจารณาปริมาณเงินที่ไหลเข้าในตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) ระยะยาว ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เม็ดเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้น แต่เงินไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย นั่นเป็นเพราะต่างชาติมองว่าเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแรง อัตราดอกเบี้ยยังไม่มีการปรับตัว ค่าเงินยังไม่อ่อนค่า ซึ่งเป็นจุดแข็งของประเทศ ส่วนการที่เงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเพราะเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก

“การที่เงินจะ Switch กลับมาในตลาดหุ้นไทยได้นั้น มองว่าต้องดูเซนติเมนต์นักลงทุนทั่วโลกว่ามีความมั่นใจกลับมาบ้างหรือยัง อย่างเช่น เรื่องความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งถ้านักลงทุนต่างชาติเริ่มมองระยะยาวเชื่อว่าจะเริ่มเห็นเงินไหลกลับเข้ามา เพราะไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง” นายภากรกล่าว

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องพิจารณามากขึ้นในอนาคตคือ การลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในตลาดอนุพันธ์ (Derivative) อย่างเช่น Single Stock Futures, DW หรือ Set50 Futures เพราะนักลงทุนบางรายแทนที่จะลงทุนโดยตรงผ่านหุ้น กลับหันมาใช้การลงทุนผ่านผลิตภัณฑ์พวกนี้แทน ซึ่งข้อดีคือนักลงทุนกลุ่มนี้สามารถลงทุนได้ในจังหวะตลาดทั้งขาขึ้นและขาลง

“ตอนนี้เรากำลังดูอยู่ว่ากลุ่มนักลงทุนเดิมที่ซื้อขายหุ้นระยะสั้น มีการเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้ตลาด Derivative มากขึ้นหรือเปล่า ซึ่งถ้าดู Set50 Futures เมื่อปี 61 ที่มีสัญญามากกว่า 173,649 สัญญา เพิ่มขึ้นกว่า 61% จากปีก่อน และ Single Stock Futuresที่มีการซื้อขาย 225,846 สัญญา หรือเพิ่มขึ้น 16.1% ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามี Activity เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์พวกนี้มากขึ้น ซึ่งกลุ่มนักลงทุนที่สำคัญมากกว่า 50% คือ Retail Investor” นายภากรกล่าว

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. กล่าวว่า สิ้นปี 61 ตลาดหลักทรัพย์ไทยปิดอยู่ที่ 1,563.88 จุด ลดลง 10.8% จากสิ้นปี 2560 ซึ่งลดลงน้อยกว่าเมื่อเทียบดัชนีกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (MSCI EM) ที่ลดลง 16.6% โดยตลาดหุ้นจีนร่วงหนักที่สุดอยู่ที่ 25.3% และรองมาคือเกาหลีใต้ร่วงไปกว่า 17.3%

ส่วนฟันด์โฟลว์ที่ผ่านมามีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปประมาณ 2.8 แสนล้านบาท แต่มีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในตลาดบอนด์ราว 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งถือเป็นการ Wait and See ไม่ได้ทิ้ง แต่นักลงทุนรอจังหวะเพื่อเข้ามาลงทุนใหม่ ประกอบสตอรี่หลายๆ อย่างเริ่มดี น่าจะเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถ้าดูระดับ Forward P/E ของตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 61 อยู่ที่ระดับ 14.60 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.75 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชีย ที่อยู่ที่ 13.50 เท่า และ 14.30 เท่า และอัตราผลตอบแทน (dividend yield) ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ที่ 3.35% ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีค่าเฉลี่ยประมาณ 3.02%

ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมของ SET และ mai ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ลดลง 9.5% จากสิ้นปี 2560 แต่หากคิดมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันรวมของ SET และ mai ในปี 2561 อยู่ที่ 57,673 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 426,213 สัญญา ซึ่งเพิ่มขึ้น 31.5% จากปีก่อน โดยตราสารอนุพันธ์ส่วนใหญ่มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อน

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat 

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!