ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (8 ม.ค.) อ่อนค่าที่ระดับ 30.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.14 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยกรอบเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 30.25-30.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ในช่วงคืนที่ผ่านมา ตลาดการเงินเคลื่อนไหวผันผวนดัชนี S&P500 ปรับตัวลง 0.3% สวนกับ Euro Stoxx 50 ที่ปรับตัวขึ้น 0.2% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) สหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวลง 0.1% มาที่ระดับ 1.71% ขณะที่ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นเช้านี้ 4.3% พร้อมกับราคาทองคำที่วิ่งขึ้นทะลุระดับ 1600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังนักลงทุนกังวลอย่างหนักกับประเด็นสงครามระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่กลับมามีการโจมตีกันอีกครั้ง
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- พระราชประวัติ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ วันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน
- กองทุนประกัน อนุมัติจ่ายเงิน 7.29 พันล้าน มี.ค.-เม.ย. รับรองมูลหนี้เพิ่ม 560 ล้าน
อย่างไรก็ดี ฝั่งตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐดูจะไม่ได้อ่อนแรงจากความผันผวนที่สูงขึ้น
ล่าสุด ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนอกภาคการผลิต (ISM Non-Manufacturing PMI) ในเดือนธันวาคม ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งมาที่ระดับ 55.0 จุด จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นมากดีกว่าการลดลงของจำนวนของขายใหม่ ชี้ว่าภาคบริการและเศรษฐกิจในทวีปอเมริกามีความแข็งแกร่งมาก และไม่ได้น่าเป็นห่วงเหมือนฝั่งอุตสาหกรรม
ดร.จิติพล กล่าวว่า ในส่วนของเงินบาท เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในช่วงคืนที่ผ่านมา จากแรงขายเงินบาทของธนาคารและนักเก็งกำไรต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่มองเงินบาทเป็นสกุลเงินที่มี ความผันผวนต่ำ แต่มีโอกาสแข็งค่าน้อยหลังธนาคารกลางเข้าดูแลอย่างเข้มงวด
“ในระยะสั้น เชื่อว่าตลาดจะค่อยๆ ปรับสมดุลค่าเงิน โดยอาจมีนักเก็งกำไรเข้ามาขายเงินบาทจากภาพตลาดที่ปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี ระยะถัดไปยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในวันศุกร์ (10 ต.ค.) ซึ่งถ้ายังอยู่ในระดับสูงเกิน 1.5 แสนตำแหน่ง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการอ่อนค่าของเงินบาทต่อเนื่องได้ทั้งสัปดาห์” ดร.จิติพลกล่าว