สภาพัฒน์ฯ เผยตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 หดตัวลึกตามคาดติดลบ 12.2% อ่วมพิษโควิด-19 คาดทั้งปีติดลบ 7.5% ด้านอัตราผู้ว่างงานลดลง 1.9% เสี่ยงตกงานอีกพรึบกว่า 1.7 ล้านคน อาชีพอิสระเสี่ยงสุด ขณะที่หนี้เสียพุ่งกว่า 23.6% แตะระดับ 1.56 แสนล้านบาท
นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพั
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- พระราชประวัติ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ วันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน
- กองทุนประกัน อนุมัติจ่ายเงิน 7.29 พันล้าน มี.ค.-เม.ย. รับรองมูลหนี้เพิ่ม 560 ล้าน
“ประมาณการจีดีพีไทยทั้งปีติ
ทั้งนี้สำหรับเครื่องยนต์ขั
ทั้งนี้แนวทางในการบริ
นายทศพร กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์การจ้างงานในไตรมาส 2 ปรับลดลง 1.95% จากที่มีแรงงานในระบบทั้งสิ้น 37.1 ล้านคน หรือมีผู้ว่างงานแล้วจำนวน 7.5 แสนราย ซึ่งเป็นการลดลงทั้งแรงงานในภาคเกษตร 0.3% และนอกภาคเกษตรกรรม 2.5% โดยสำหรับกลุ่มนอกภาคเกษตรกรรม แรงงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างมีการปลดคนงานมากที่สุดในสัดส่วน 6.3% ขณะที่ฝั่งการผลิตและสาขาโรงแรม-ภัตตาคาร ปรับลดลง 4.4% และ 2.8% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามทางสภาพัฒน์ชี้ว่าตัวเลขผู้ว่างงานดังกล่าวเป็นเพียงตัวเลขโดยรวมที่ยังไม่เฉพาะเจาะจง แต่เมื่อพิจารณาจากผู้ขอใช้สิทธิรับประโยชน์กรณีว่างงาน ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม มาตรา 33 มีทั้งสิ้นแค่ 4.2 แสนราย ขณะที่แรงงานในระบบที่ตกอยู่ในความเสี่ยงการว่างงานในอนาคตมีทั้งสิ้น 1.7 ล้านคน เนื่องจากคนกลุ่มนี้คือผู้ที่ปัจจุบันยังมีสถานะเป็นผู้มีงานทำแต่สถานประกอบการประสบเหตุสุดวิสัยไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ ฉะนั้นภาพรวมผู้ตกงานจึงน่าจะอยู่แค่ 2.18 ล้านราย ส่วนความเสี่ยงที่อาจจะเกิดผู้ตกงานสูงถึง 8 ล้านรายนั้นคงจะขึ้นอยู่กับการระบาดโควิด-19 ที่ลากยาวและมีความรุนแรงจนต้องปิดประเทศ
“กลุ่มที่เราเป็นห่วงมากคือกลุ่มผู้ประกอบการอาชีพอสิระ 16 ล้านคน ซึ่งจะแปรผันไปตามสถานการณ์ที่เราจะต้องดูแล ซึ่งยังได้รับผลกระทบอยู่ จากไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา บางธุรกิจปิดตัวลง จึงต้องหามาตรการเพื่อช่วยเหลื
นอกจากนี้อัตราการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยขึ้นมาอยู่ที่ 80.1% ในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ นับเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปี ด้วยมูลค่าถึง 13.48 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% แต่ชะลอตัวลง 5.1% จากไตรมาสก่อน โดยสภาพัฒน์มองว่ายังเป็นสัดส่วนที่ยังรับได้ โดยเป็นการอ้างอิงงานศึกษาจากธนาคารโลก และมองว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะลดลงได้เมื่อเศรษฐกิจภาพรวมกลับมา
ขณะที่มูลค่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) มีมูลค่าแตะ 1.56 แสนล้านบาท มีการปรับตัวสูงขึ้นถึง 23.6% และคิดเป็นหนี้เสียต่อหนี้สินรวมทั้งหมด 3.23% เพิ่มขึ้นจาก 2.9% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนแนวโน้มสินเชื่อครัวเรือนในไตรมาส 2 ปีนี้ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ตามความต้องการสินเชื่อในภาพรวมที่ปรับตัวลดลง