ตั้งวอร์รูมกัน “ระบบแบงก์” ล่ม ธปท.สั่งอัพระบบรองรับธุรกรรมสิ้นปีพุ่ง

ธปท

ธปท.ถกแบงก์พาณิชย์ ตั้งวอร์รูมรับมือธุรกรรมการเงินพุ่งช่วงสิ้นปี สกัดระบบล่ม-จี้แบงก์เพิ่มคาพาซิตี้รองรับ ขณะที่ “ITMX” ประเมินปริมาณธุรกรรมเดือน ธ.ค.เพิ่ม 20% แตะ 520 ล้านรายการ-มาตรการ “คนละครึ่ง” ดัน เร่งเพิ่มศักยภาพระบบรองรับอีก 2 เท่าของปริมาณธุรกรรมสูงสุด รองรับได้ถึง 1.6 พันรายการต่อวินาที “กรุงไทย-กสิกรฯ” เตรียมระบบพร้อมรับมือ

นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะเรียกประชุมสถาบันการเงินทุกแห่ง เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการ และรับมือการทำธุรกรรมการเงินบนโมบายแบงกิ้งในช่วงสิ้นปีนี้ ที่ทุกปีจะเป็นช่วงที่มีปริมาณธุรกรรมการเงินค่อนข้างหนาแน่น

พร้อมกับการจัดตั้งวอร์รูม เพื่อติดตามสถานการณ์และสื่อสารเชิงรุกว่าหากมีธุรกรรมทะลักเข้ามาปริมาณมาก จะมีแนวทางการแก้ไขและรับมืออย่างไรบ้าง

ทั้งนี้ ธปท.ได้กำชับให้ธนาคารพาณิชย์มีการประสานงานระหว่างธนาคารผู้ส่งและผู้รับธุรกรรม โดยจะต้องมีการจัดลำดับการทำรายการ (คิว) เพื่อไม่ให้รายการกระจุกตัวในช่วงใดช่วงหนึ่งมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ระบบหน่วงและการดึงกัน ตลอดจนกำชับให้เพิ่มศักยภาพการรองรับ (capacity) ปริมาณการทำธุรกรรม แม้ว่าที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะเพิ่มศักยภาพกันอย่างต่อเนื่อง แต่ก็อาจจะต้องการยกระดับเพิ่มขึ้นอีก

“เรามีการประชุมร่วมกับแบงก์ทุกเดือนแต่เราจะมีการตั้งวอร์รูม เพื่อติดตามและประสานงานในช่วงสิ้นปี โดยจะมีการประเมินจำนวนปริมาณธุรกรรม และวางแผนการแก้ปัญหาและรับมือ ทั้งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งยอมรับว่าช่วงหลังระบบมีสะดุดบ้าง แม้จะขยาย capacity แล้วก็ตาม ส่วนหนึ่งปัญหาเกิดจากธนาคารผู้รับและผู้ส่งสื่อสารขัดข้อง ทำให้เกิดการสะสมของรายการจำนวนมาก เราจึงต้องมีการจัดคิวรายการ” นางสาวสิริธิดากล่าว

นางสาววรรณา นพอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ๊กซ์ จำกัด (ITMX) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมา ITMX ร่วมกับ ธปท. และธนาคารพาณิชย์ก็มีการตั้งวอร์รูม เพื่อดูแลเรื่องปริมาณธุรกรรมการเงินที่เพิ่มขึ้นทุกสิ้นเดือน เนื่องจากปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทุกฝ่ายติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่เฉพาะแต่ในช่วงสิ้นปีเท่านั้น อย่างไรก็ดี ปกติแล้วปริมาณธุรกรรมในเดือน ธ.ค.จะมากกว่าเดือน พ.ย.ประมาณ 20%

“ธุรกรรมในเดือน พ.ย.จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณเกือบ 500 ล้านรายการ และในเดือน ธ.ค.จำนวนรายการเพิ่มเป็น 520 ล้านรายการ แต่ตอนนี้ทุกธนาคารเฝ้าระวังทุกเดือน ซึ่งปีนี้เรามองว่าช่วงวันที่ 31 ธ.ค. 2563-1 ม.ค. 2564 วอลุ่มอาจจะลดลง เพราะคนใช้จ่ายและทำธุรกรรมตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.แล้ว อย่างไรก็ดี เราก็มีวอร์รูมที่ตั้งขึ้นมาดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ และมีการประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนรับมือและแก้ไขหน้างานด้วย” นางสาววรรณากล่าว

นอกจากนี้ บริษัทจะต้องวางแผนรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายภาครัฐเพิ่มเติมจากธุรกรรมการเงินปกติในช่วงสิ้นเดือน ซึ่งจะเห็นว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (พ.ย.-ธ.ค.) มีปริมาณธุรกรรมการโอนเงินเพิ่มขึ้ โดยส่วนหนึ่งมาจากโครงการคนละครึ่ง ที่มีการโอนเงินและเติมเงินไปมา ทำให้ภาพรวมธุรกรรมเพิ่มขึ้น

“บริษัทได้เตรียม capacity เพิ่มขึ้น 2 เท่าของธุรกรรมสูงสุด (พีก) ที่ปกติจะเฉลี่ยอยู่ที่ 700-800 รายการต่อวินาที เป็น 1,600 รายการต่อวินาที ถือว่าเพียงพอรับมือช่วงสิ้นปี แต่ในระยะข้างหน้าจะต้องเพิ่ม capacity เพื่อรองรับโครงการนโยบายภาครัฐด้วย เพื่อให้ธุรกรรมไม่สะดุด เพราะแนวโน้มธุรกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งปีนี้เราประเมินว่าจะเพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน” นางสาววรรณากล่าว

นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ทุกธนาคารได้ประชุมร่วมกับ ธปท. เพื่อเตรียมความพร้อมระบบการรองรับการทำธุรกรรมการเงินในช่วงสิ้นปี

ซึ่งเป็นเทศกาลวันหยุดยาว ทำให้ปริมาณธุรกรรมการเงินเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ทั้งในส่วนของระบบโมบายแบงกิ้ง และการกดเงินสดที่เครื่องเอทีเอ็ม เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการและสามารถทำธุรกรรมในทุกช่องทางโดยไม่สะดุด ทั้งภาครายย่อยและภาคธุรกิจ

นายเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) กล่าวว่า ตอนนี้ทุกธนาคารมอนิเตอร์ธุรกรรมการโอนเงินกันทุกเดือน โดยมีการตั้งวอร์รูมเพื่อพูดคุยประสานงานกับ ธปท.

ซึ่งในส่วนของธนาคารกสิกรไทยได้เตรียมความพร้อมของระบบไว้รองรับอย่างต่อเนื่อง โดยมีการทดลองรับมือภาวะวิกฤต (stress test) ระบบ ซึ่งไม่ใช่แค่รับมือช่วงสิ้นปีนี้เท่านั้น แต่รองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นในทุกสิ้นเดือน เพื่อไม่ให้การทำธุรกรรมสะดุด

“กสิกรไทยได้จัดเตรียม capacity รองรับปริมาณธุรกรรม 2 เท่าของพีก โดยธนาคารมีปริมาณธุรกรรมกว่า 40% ของทั้งระบบ” นายเรืองโรจน์กล่าว