ธปท.ไฟเขียวน็อนแบงก์รายแรก ปล่อยกู้ “สินเชื่อบุคคลดิจิทัล”

ธปท.

เปิดศักราชใหม่ตลาดสินเชื่อออนไลน์คึกคัก แบงก์ชาติไฟเขียว “น็อนแบงก์” รายแรกทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลดิจิทัลได้แล้ว คาดเริ่มปล่อยสินเชื่อปลาย ก.พ.นี้ จ่ออนุมัติเพิ่มอีก 2 รายในไม่เกิน มี.ค.นี้ ขณะที่ “LINE BK” เผยคำขอสินเชื่อทะลัก 1.5 ล้านราย ชี้ผลกระทบ “โควิด-19” หนุนคนต้องการเงินหมุนเวียนใช้จ่าย ด้าน “กรุงศรีฯ”ทุ่มงบฯพัฒนาไอที 8.5 พันล้านบาทต่อปี รุกทุกแพลตฟอร์มดันสัดส่วนปล่อยกู้ออนไลน์เพิ่มเป็น 10% จากเดิม5% ฟาก “กรุงไทย” ซุ่มทดลองสินเชื่อออนไลน์ไม่ให้ตกเทรนด์

นวอร เดชสุวรรณ์
นวอร เดชสุวรรณ์

นางนวอร เดชสุวรรณ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจาก ธปท.ออกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Loan) ไปเมื่อปีที่ผ่านมา

ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุญาตแล้ว 1 ราย เป็นผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (น็อนแบงก์) ซึ่งจะเริ่มให้บริการปล่อยสินเชื่อภายในปลายเดือน ก.พ.นี้ และคาดว่าจะมีผู้ประกอบการอีก 2 ราย น่าจะได้รับการอนุญาตให้ประกอบธุรกิจได้เพิ่มเติมภายในไตรมาส 1 ปีนี้

“ตั้งแต่เปิดให้ยื่น ก็มีผู้ประกอบการทั้งที่เป็นสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการที่เป็นน็อนแบงก์ มีความประสงค์จะประกอบธุรกิจสินเชื่อบุคคลดิจิทัล สอบถามและยื่นความประสงค์เข้ามารวม ๆ กันประมาณ 8 ราย โดยยื่นขออนุญาตเข้ามาแล้ว 3-4 ราย

ส่วนรายที่ติดต่อสอบถามรายละเอียด แสดงความสนใจเข้ามาก็มีอีก 3-4 ราย ซึ่งการพิจารณา เราให้ความสำคัญในเรื่องของระบบและการรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลัก

โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงติดปัญหาเรื่องระบบที่จะรองรับการปล่อยสินเชื่อ ที่เป็นออนไลน์ทั้งหมด ซึ่ง ธปท. ต้องเข้มงวดในเรื่องของการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ผู้ประกอบการต้องพัฒนาระบบรองรับให้มีประสิทธิภาพให้มากที่สุด” นางนวอรกล่าว

นายธนา โพธิกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด (LINE BK) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมความต้องการสินเชื่อผ่านออนไลน์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้คนต้องการแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในชีวิตประจำวัน ซึ่งการขอสินเชื่อออนไลน์ทำได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการขอสินเชื่อผ่านแบงก์แบบเดิม จึงเห็นผู้ประกอบการหลายรายลงมาเล่นในตลาดนี้ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ต่างก็พัฒนาช่องทางการปล่อยสินเชื่อออนไลน์มากขึ้น

“ผู้เล่นที่มีฐานข้อมูลนอกเหนือจากข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) รวมถึงสามารถอนุมัติสินเชื่อได้ และควบคุมความเสี่ยงได้ดี จะได้เปรียบคู่แข่งในตลาด เพราะความต้องการสินเชื่อของลูกค้ามาแรงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ลูกค้าที่มาขอสินเชื่อกับเรา บางรายมีที่สมัครซ้ำ ไม่ผ่าน NCB หรือกู้เกิน 3 สถาบัน ทำให้ยอดรีเจ็กต์ (ปฏิเสธสินเชื่อ) อาจจะเยอะ เพราะเราต้องคุมความเสี่ยงด้วย” นายธนากล่าว

สำหรับ LINE BK นายธนากล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ข้อมูลถึงเดือน ม.ค. 2564 มีลูกค้าใจสมัครใช้บริการแล้วกว่า 1.5 ล้านราย และเปิดบัญชีแล้ว 1.3-1.4 แสนบัญชี เฉลี่ยวงเงินสินเชื่อ 2-3 หมื่นบาทต่อราย

โดยมีสัดส่วนการอนุมัติสินเชื่อ แบ่งเป็น ประมาณ 30% จะเป็นกลุ่มลูกค้ารายได้ไม่ประจำ และเป็นสินเชื่อก้อนแรก ถือว่าตรงกับเป้าหมายของ LINK BK ที่ต้องการเจาะลูกค้ากลุ่มนี้ เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินที่สัดส่วนกว่า 90% จะเป็นกลุ่มมนุษย์เงินเดือนเป็นหลัก

“ยอมรับว่ากลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ไม่ประจำ หรือฟรีแลนซ์ จะมีอัตราการผิดนัดชำระหนี้มากกว่ากลุ่มรายได้ประจำ ดังนั้น บริษัทต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยปัจจุบันยังสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ปีนี้พยายามควบคุมคุณภาพสินเชื่อมากกว่าเน้นการเติบโตสินเชื่อ เป้าหมายคุมหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) อยู่ระดับ 5%” นายธนากล่าว

นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านกลยุทธ์และวางแผนกลยุทธ์องค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ธนาคารตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อออนไลน์เติบโตอยู่ที่ 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3-5% ของสินเชื่อปล่อยใหม่รวมของธนาคาร

โดยกรุงศรีจะมุ่งเน้นเติบโตในทุกช่องทางและทุกแพลตฟอร์มของแบงก์และบริษัทในเครือ อาทิ แอปพลิเคชั่น KMA, สินเชื่อบุคคลออนไลน์ผ่าน Krungsri i FIN, แอปพลิเคชั่น U CHOOSE รวมถึง Krungsri Auto เป็นต้น

ทั้งนี้ การเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อออนไลน์สอดคล้องกับแผนระยะกลางของธนาคารในปี 2564-2566 ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เทคโนโลยีและดิจิทัล โดยธนาคารพยายามลงทุนดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ทั้งเรื่องถังข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือการเชื่อมระบบไปสู่ภูมิภาค

“แม้ว่าธุรกรรมผ่านออนไลน์ปัจจุบันมากกว่า 80-90% จะเป็นในเรื่องของธุรกรรมการโอนเงิน-จ่ายเงิน ป็นหลัก แต่ในระยะข้างหน้าธนาคารต้องการเติบโตในส่วนของการปล่อยสินเชื่อออนไลน์มากขึ้น

โดยเราตั้งใจที่จะขยับสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค และเป้าหมายระยะกลางของธนาคารที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพิจารณาสินเชื่อออนไลน์ได้มากขึ้น

จะเห็นว่าเราตั้งงบฯลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีค่อนข้างสูงเฉลี่ย 8.5 พันล้านบาทต่อปี ดังนั้น เป้าหมายสินเชื่อออนไลน์ที่ 10% รวมทุกแพลตฟอร์มเป็นเป้าหมายที่เราจะทำจริงจังมากขึ้น” นายไพโรจน์กล่าว

นายพิชิต จงสฤษดิ์หวัง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสายงาน สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการทดลองและพัฒนาระบบการขอสินเชื่อออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพ

และคาดว่าจะออกมาให้บริการได้ภายในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการปล่อยสินเชื่อออนไลน์ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธนาคารกรุงไทย นอกจากการพัฒนาระบบดิจิทัลในเรื่องการทำธุรกรรมการเงิน เช่น การฝาก-จ่าย-โอนเงิน ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อออนไลน์เป็นสิ่งที่ทุกธนาคารต้องเดินไปในอนาคต