TIDLOR คาดพิษโควิดกระทบหนี้เสียไม่เกิน 2%-ทุ่มพันล้านขยายสาขา 1,500 แห่ง

เงินติดล้อ ประเมินโควิดระลอก 3 กระทบหนี้เสียไม่เกิน 2% ปีนี้ แย้มแผนใหม่ ลงทุนสาขาใน 2-3 ปีรวม 1,500 สาขา เงินลงทุนรวม 1,050 ล้านบาท คาดใช้เงินลงทุนต่อสาขา 4-7 แสนบาท (1-2 คูหา) เฉพาะปีนี้ลุย 200 แห่งทั่วประเทศ พร้อมศึกษา M&A โบรกเกอร์ประกัน-ขยายธุรกิจอาเซียน ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจสินเชื่อโต 15-20% ต่อปี ธุรกิจนายหน้าประกันโต 40% ฟาก “ราคาหุ้น TIDLOR วันแรก” ปิดตลาดอยู่ที่ 45.75 บาท +25.34% จากราคาไอพีโอที่ 36.50 บาท

โควิดระลอก 3 กระทบหนี้เสียไม่เกิน 2% ปีนี้

นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) เปิดเผยว่า จากผลกระทบโควิดระลอก 3 ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะสูงขึ้น เพราะกลุ่มลูกค้าที่ขอสินเชื่อซึ่งมีสถานะการเงินที่เปราะบางอยู่แล้ว พอโดนผลกระทบรอบนี้ทำให้กระแสเงินสดที่มียิ่งแย่ลงไปอีก แต่จากการประเมินเปรียบเทียบในช่วงไตรมาส 2/63 ลูกค้าเข้ามาขอความช่วยเหลือเป็นหลักแสนรายจากผลกระทบโควิด Wave แรก แต่รอบนี้ยังอยู่ในระดับหลักพันราย ฉะนั้นเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าปีที่แล้วพอสมควร

ซึ่งปีที่แล้วผลกระทบจาก NPL โดยก่อนเกิดโควิด Wave แรก ระดับเอ็นพีแอลอยู่ที่ 1% ต้น ๆ และคาดการณ์ว่าผลกระทบโควิดเต็มรูปแบบระดับเอ็นพีแอลไม่น่าจะเกิน 2% ซึ่งปีนี้ก็คาดการณ์ว่าระดับเอ็นพีแอลไม่น่าจะเกิน 2% เพราะปัจจุบันบริษัทมีการตั้งเงินสำรองไว้สูงมากเมื่อเทียบกับระดับเอ็นพีแอล ประมาณ 200-300% ดังนั้นอาจมีบ้างที่จะส่งผลกระทบต่อลูกค้าบางกลุ่มที่เปราะบาง แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่หนักหนาสาหัส และไม่ส่งผลในระยะยาวด้วย

ทั้งนี้ โครงสร้างธุรกิจภายหลังไอพีโอ จะทำให้บริษัทมีสัดส่วนเงินกู้ต่อเงินทุนปรับลดลง ฉะนั้นธุรกิจแข็งแกร่งมากขึ้น และมีเงินทุนที่สูงขึ้นซึ่งจะรองรับสถานการณ์โควิดได้

ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล

ทุ่มพันล้าน ลงทุนเพิ่มสาขา 1,500 แห่ง

นายปิยะศักดิ์ กล่าวถึงภาพการแข่งขันว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีคู่แข่งหลายรายที่มีจำนวนสาขา 4-5 พันแห่ง แต่กลยุทธ์ของบริษัทใช้หลากหลายช่องทางในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้า แต่อย่างไรก็ดีเป้าหมายในการขยายสาขาก็ยังมีอยู่ โดยคาดว่าจะเพิ่มเครือข่ายสาขาไม่น่าจะต่ำกว่า 40% จากปีที่แล้วมีสาขาอยู่ประมาณ 1,057 สาขา โดยภายใน 2-3 ปีบริษัทน่าจะเปิดสาขาได้ถึง 1,500 สาขา ซึ่งเชื่อว่าการเติบโตผ่านสาขาทำได้ดีกว่าคู่แข่งหลายราย

โดยปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนการเปิดสาขาใหม่ประมาณ 200 สาขา ใช้เงินลงทุนต่อสาขาประมาณ 4-7 แสนบาท (1-2 คูหา) คิดเป็นเม็ดเงินลงทุนเฉพาะปีนี้ราว 80-140 ล้านบาท และเป้าหมายภายใน 2-3 ปี จำนวนรวม 1,500 สาขา คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 600-1,050 ล้านบาท โดยมีพนักงาน 2-3 คนต่อสาขา

“จริงๆ การขยายสาขาเราใช้ดาต้าโมเดลในการเปิด ดังนั้นจะเปิดได้ทั่วประเทศ โดยพิจารณาจากข้อมูลในหลาย ๆ มิติประกอบการลงทุน”

ตั้งเป้ารายได้โต 15-20% ต่อปี

นายปิยะศักดิ์ กล่าวต่อว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากปีก่อนที่มีรายได้ 10,558 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ 92% รายได้จากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัย 8% ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเติบโตของเบี้ยกว่า 20% ดังนั้นปีนี้คาดว่าเบี้ยรับจะเติบโตได้ 40% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยบริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจไปยังอาเซียนด้วยในอนาคต แต่ทั้งนี้ปัจจุบันยังมีโอกาสเติบโตในประเทศได้อีกมาก เพราะด้วยโครงสร้างของตลาดยังมีผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็ก ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่บริษัทจะเข้าไปเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ได้

ประกอบกับสัญญาณของธุรกิจสินเชื่อไม่มีหลักประกันตอนนี้อนุมัติค่อนข้างยาก เนื่องจากรายได้ของลูกค้าถูกกระทบ ดังนั้นจะมีลูกค้าที่หันมาใช้สินเชื่อทะเบียนรถมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีโอกาสเติบโตของธุรกิจสินเชื่อในประเทศ ขณะที่ธุรกิจประกันยังโตได้อีกมาก เพราะขณะนี้มาร์เก็ตแชร์ของเงินติดล้อแค่ 4-5% ของเบี้ยรวมทั้งระบบกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ดังนั้นมีโอกาสให้บริษัทสร้างการรับรู้ว่าเงินติดล้อเป็นโบรกเกอร์ประกันมืออาชีพ ที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในประเทศกว่า 5,000 ราย

เล็ง M&A โบรกเกอร์ประกันฯ ท้าชนรายใหญ่

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัยเพื่อขยายพอร์ตเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าโอกาสมีอยู่แล้ว แต่การทำ M&A อาจจะต้องค่อย ๆ เลือกบริษัท และสิ่งที่สำคัญคือพิจารณาอัตราการต่ออายุของลูกค้า

ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น TIDLOR วันแรกปิดตลาดวันที่ 10 พ.ค. 64 อยู่ที่ 45.75 บาท เปลี่ยนแปลง +25.34% จากราคาไอพีโอที่ 36.50 บาท