“อาคม” ชี้เปิดประเทศหนุนเศรษฐกิจปี’64 โต 1.2%

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ

รมว.คลัง คาดเศรษฐกิจปี’64 โต 1.2% หลังเปิดประเทศทำให้การท่องเที่ยว-กิจกรรมเศรษฐกิจดีขึ้น ส่วนปี’65 คาดจีดีโต 4.5% พร้อมเผยแนวทางบริหารเศรษฐกิจ

วันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 39 เรื่อง “ประเทศไทยกับการฟื้นตัวหลังโควิด-19” ว่า คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 1.1-1.2% มากกว่าที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ที่ 1% หลังจากรัฐบาลเปิดประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐที่จะช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรก เศรษฐกิจไทยก็สามารถขยายตัวได้ 1.3% อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการระบาดโควิดระลอกใหม่ รวมถึงความเสี่ยงเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ขณะที่เศรษฐกิจปี 2565 นั้น คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ 3.5-4.5% โดยการฟื้นตัวจะมาจาก 7 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การดูแลการแพร่ระบาดโควิด-19 2.การหนุนให้ภาคธุรกิจฟื้นตัว 3.แรงกระตุ้นการใช้จ่ายครัวเรือน 4.ภาคการส่งออก 5.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน 6.การใช้จ่ายรัฐบาล และ 7.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ

นายอาคมกล่าวว่า ส่วนแนวทางการบริหารเศรษฐกิจในปี 2565 จะเน้นให้มีการเติบโตอย่างทั่วถึง หรือ Inclusive Growth ซึ่งจะต้องไม่กระจุกตัวในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งเมื่อสามารถทำให้การเติบโตตั้งแต่เศรษฐกิจระดับฐานรากได้ จะเป็นแรงกระแทกได้ดีเมื่อเศรษฐกิจเกิดผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ

นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องดูแลโควิด-19 ควบคู่กับการดูแลเศรษฐกิจ และหนุนให้เศรษฐกิจชุมชนเชื่อมโยงกับ Big supply chain และจะต้องดูแลปัญหาทั้งขาดดุลการคลังและขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งจะส่งเสริมให้คนไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย

สำหรับการบริหารเศรษฐกิจมหภาคนั้น นโยบายการคลังมีส่วนในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจผ่านพ้นวิกฤตมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันนโยบายการเงินก็จะมีส่วนในการสนับสนุน ซึ่งในวิกฤตครั้งนี้ นโยบายการเงินก็ดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน แม้ว่าขณะนี้แรงกดดันต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งจากการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลต่อระดับเงินเฟ้อ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ยังยืนยันที่จะใช้นโยบายการเงินเพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ฉะนั้น ขอให้มั่นใจว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะไปด้วยกัน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณในการดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งคิดเป็น 14.6% ของจีดีพี และใช้นโยบายกึ่งการคลังไปประมาณ 4.2% ของจีดีพี เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถือว่า ใกล้เคียง ยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่ใช้มากถึง 25% ของจีดีพี แต่คำถาม คือ เมื่อใช้นโยบายดังกล่าวแล้วจะมีผลต่อฐานะการคลังอย่างไร คำตอบ คือ มีผลให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น โดย ณ เดือน ก.ย. 2654 ระดับหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 57% ต่อจีดีพี และประเมินว่า ณ สิ้นเดือน ก.ย.2565  ระดับหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 62% ต่อจีดีพี ซึ่งจะเป็นจากการใช้เงินกู้จากพ.ร.ก.กู้เงิน แต่ถือว่ายังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่เราได้ขยายไว้ที่ 70% ต่อจีดีพี

นอกจากนี้ ฐานะการคลัง ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2564 ก็อยู่ในระดับ 5 แสนล้านบาท ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอ หากเศรษฐกิจปีหน้าขยายตัวได้ 4% การจัดเก็บรายได้ก็จะเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ก็คงไม่จบแค่นี้ เพราะเรามีแผนที่จะเพิ่มขยายฐานภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บให้ดีขึ้น และยังมีเงินนำส่งรัฐวิสาหกิจ รวมถึง รายได้ที่ได้จากค่าเช่าที่ราชพัสดุ