สมาคมนักวิเคราะห์ เปิดมุมมองลงทุนปี’65 แนะแผนกระจายพอร์ต

ภาพจาก Pixabay

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน คาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 2565 ที่ 1,760 จุด ตามเศรษฐกิจไทยคาดขยายตัว 3.71% ผลกำไรต่อหุ้นเติบโตได้ 11.82% แนะนำแผนกระจายพอร์ตลงทุน 

วันที่ 5 มกราคม 2565 นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 25 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 2565 สรุปได้ดังนี้

นักวิเคราะห์เพิ่มสมมติฐานหลัก ด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ไทยปี 2565 จะเติบโต 3.71% จากการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อน ที่ 3.67% ขณะที่เพิ่มสมมุติฐานด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลข 68.54 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ทิศทางการลงทุนในปี 2565 นี้ จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้น โดยมีผู้โหวตถึง 92% และภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 84% ตามมาด้วย แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและโควิดในไทย มีผู้โหวต 80%

ส่วนปัจจัยลบมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีผู้โหวตมากถึง 84% รองลงมาคือ การเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก มีผู้โหวต 72% และตามติดมาด้วยแนวโน้มสถานการณ์โควิดของโลกที่สูงขึ้นอีกครั้ง มีผู้โหวต 68% ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 79% มองว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้

ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 65 เฉลี่ยที่ 89.59 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 11.82% จากปี 2564 อย่างไรก็ตามตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 92.49 บาทต่อหุ้น

ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ถูกคาดการณ์ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ้นปี 2564 มากนัก โดยจะปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1,665 จุด และเมื่อมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,546 ถึง 1,782 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 65 จะปิดที่ 1,760 จุด

นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

  • เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.22%
  • กองทุนตราสารหนี้ 16.96%
  • หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.87%
  • หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28.96%
  • กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.09%
  • ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.35%
  • อื่น ๆ 0.57%

สำหรับในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจการเกษตร ปิโตรเคมี การแพทย์ และการท่องเที่ยว รายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ ADVANC, CPALL, EA, KBANK และ SCB

ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน รวมถึงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในช่วงปี 2563-2564 เนื่องจากปัจจุบันแม้ราคาลงมาบ้าง แต่ยังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐาน

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ วางแผนโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตระยะยาว รวมถึงโครงข่ายสื่อสารและขนส่ง

นอกจากนั้นยังแนะนำให้ช่วยเหลือประชาชน โดยเร่งการฉีดวัคซีนเข็ม 3 รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านภาคธุรกิจนั้น ควรใช้นโยบายสนับสนุนสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มเติม