กฎหมายจราจรฉบับใหม่ บังคับใช้วันนี้ ฝ่าฝืนมีโทษอย่างไร

กฎหมายจราจรฉบับใหม่ บังคับใช้วันนี้ ฝ่าฝืนมีโทษอย่างไร

5 กันยายน 2565 ดีเดย์ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคนต้องรู้ ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำคุก-ปรับ 

วันที่ 5 กันยายน 2565 จะเป็นวันแรกที่มีการบังคับใช้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ซึ่งเพิ่มข้อกฎหมายเรื่องการบังคับให้ผู้โดยสารรถยนต์เบาะหลังต้องคาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการจราจรทางบก

“ประชาชาติธุรกิจ” สรุปทุกเรื่องที่ควรรู้ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับใหม่ ก่อนบังคับใช้จริง

กฎหมายกำหนดอะไรบ้าง ?

กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ฉบับที่บังคับใช้ในวันนี้ มีการกำหนดและเปลี่ยนแปลงการบังคับคาดเข็มขัดนิรภัย และเพิ่มการติดตั้งที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก (Car Seat) ไว้ดังนี้

  • ผู้ขับขี่ ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะขับรถยนต์
  • ผู้โดยสาร ทั้งที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์
  • ผู้โดยสารที่เป็นเด็ก อายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย (Car Seat) หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
  • ผู้โดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด

นอกจากนี้ กฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก ฉบับใหม่ มีการเพิ่มรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้

มาตรา 123/1

ในการใช้รถนั่งสองแถว รถบรรทุกคนโดยสารขนาดเล็กที่มีการจัดที่นั่งตามความยาวของรถ รถกระบะ รถกึ่งกระบะ หรือรถยนต์อื่นตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประกาศกำหนด หากได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  1. การบรรทุกคนโดยสาร ต้องไม่เกินจำนวนตามที่ ผบ.ตร. ประกาศกำหนด สำหรับรถยนต์แต่ละประเภท และต้องไม่มีการยืนหรือนั่งโดยสารในลักษณะที่เป็นการเสี่ยงภัยตาม
  2. การขับรถยนต์ต้องใช้อัตราความเร็วตามที่กำหนด แต่ต้องไม่เกินแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

ให้ผู้โดยสารที่อยู่ในรถยนต์นั้นนอกจากคนโดยสารที่นั่งแถวตอนหน้า ได้รับยกเว้นไม่ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยตามมาตรา 123 และให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับการใช้รถบรรทุกคนโดยสารที่เป็นรถประจำทางที่ไม่ต้องติดตั้งเข็มขัดนิรภัยตามที่อธิบดีกรมการขนส่งทางบกประกาศกำหนด ในขณะขนส่งคนโดยสารในเส้นทางที่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่ง

มาตรา 123/2

ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ ขับรถยนต์ในขณะที่มีคนโดยสารนั่งแถวตอนหน้าเกินสองคน หรือคนโดยสารที่นั่งแถวตอนหน้านั้นมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 123

มาตรา 123/3

ผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ หรือรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารเพื่อสินจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ต้องแจ้งเตือนหรือจัดให้มีการแจ้งเตือนด้วยวิธีการอื่น เพื่อให้คนโดยสารในรถนั้นปฏิบัติตามมาตรา 123 และมาตรา 123/1 (1) ทุกครั้งก่อนการออกรถ ทั้งนี้ ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประกาศกำหนด

อย่างไรก็ตาม กฎหมายมีการอนุโลมให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารมีเหตุผลทางสุขภาพอันไม่สามารถรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง แต่บุคคลนั้นต้องมีวิธีการป้องกันอันตราย ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

รวมถึง อนุโลมให้รถยนต์ที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 1 มกราคม 2531 และไม่สามารถติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้ ไม่ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายดังกล่าว และรถกระบะที่มีการจดทะเบียนก่อนปี 2537 จะยังไม่มีผลบังคับใช้ ส่วนรถกระบะที่ไม่มีเข็มขัดนิรภัย ต้องมีข้อกำหนดพิจารณาอีกขั้นตอนหนึ่ง

กรณีมีการกระทำผิดกฎหมาย มาตรา 148 ของ พ.ร.บ.จราจรทางบก กำหนดให้มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

ฝ่าฝืนเจอโทษปรับ-จำคุก

เพจบัญชีชื่อ ตำรวจสอบสวนกลาง เผย 4 เรื่องต้องรู้ หลังกฎหมายจราจรใหม่มีผลบังคับใช้ 5 ก.ย.นี้ โดยมีข้อความระบุว่า

1) เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ

  • กระทำผิดครั้งแรก มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
    • หากทำผิดซ้ำภายใน 2 ปี นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก เพิ่มอัตราโทษ เป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับ 50,000-100,000 บาท และศาลจะลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ (ม.160 ตรี/1 และ 160 ตรี/3)

2) เพิ่มอัตราโทษที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นปัจจัยเสี่ยง ในการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ใช้ทาง

2.1 เพิ่มอัตราโทษปรับ เช่น
• ขับรถเร็วเกินกำหนด ปรับไม่เกิน 4,000 บาท
• ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง ปรับไม่เกิน 4,000 บาท
• ไม่หยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย ปรับไม่เกิน 4,000 บาท
• ขับรถย้อนศร ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
• ไม่สวมหมวกนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท
• ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย ปรับไม่เกิน 2,000 บาท

2.2 เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น
• เพิ่มอัตราโทษเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3) กำหนดความผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทาง เพิ่มเติม ดังนี้

3.1 ความผิดฐานพยายามแข่งรถ กำหนดเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ร่วมกลุ่มหรือมั่วสุมในทางหรือสาธารณสถานใกล้ทาง ด้วยรถตั้งแต่ 5 คันขึ้นไป ถือว่า “พยายามแข่งรถในทาง” หากมีเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
• นัดหมายเพื่อแข่งรถกันมาก่อน หรือ
• รถดัดแปลง/ปรับแต่ง มีสภาพไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือ
• มีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดอันแสดงให้เห็นว่าจะทำการแข่งรถในทาง
มีโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง (การแข่งรถในทาง ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

3.2 ผู้จัด ผู้โฆษณา ประกาศ ชักชวน ให้มีการแข่งรถ
• มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.3 ร้านรับแต่งรถ เมื่อรถนั้นถูกนำไปใช้แข่งรถในทาง
• ต้องรับโทษในฐานะผู้สนับสนุน มีโทษ 2 ใน 3 ของความผิดฐานแข่งรถในทาง (การแข่งรถในทาง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

4) กำหนดเรื่องการรัดเข็มขัดนิรภัย
4.1 รถที่ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถตู้
4.2 รถกระบะ ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยในที่นั่งตอนหน้า กรณีเป็นรถกระบะสองตอนผู้โดยสารตอนหลัง ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยด้วย
หากฝ่าฝืนไม่รัดเข็มขัด ตามข้อ 4.1 และ 4.2 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

ทั้งนี้ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 และจะมีผลบังคับใช้วันที่ 5 กันยายน 2565

เสียงตอบรับ กฎหมายบังคับคาดเข็มขัด-ใช้คาร์ซีต

หลังจากมีการประกาศกฎหมายดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ทำให้มีเสียงความคิดเห็นเกิดขึ้นเป็น 2 ฝั่ง มีทั้งฝ่ายที่สนับสนุนให้บังคับใช้ เพราะการซื้อคาร์ซีตเท่ากับซื้อความปลอดภัยให้ลูก และฝ่ายที่คิดว่าการซื้อคาร์ซีตไว้ในรถเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน

นอกจากเสียงความคิดเห็นแล้ว ก็มีเสียงสะท้อนถึงราคาของคาร์ซีตที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพจ “เลี้ยงลูกอย่างมีความสุข by mommy Arpan” โพสต์ถึงเรื่องราคาคาร์ซีตผ่านเฟซบุ๊กเมื่อ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ราคาจากเดิม 6 พันกว่าบาท เพิ่มขึ้นเป็น 8 พันกว่าบาท พร้อมเสนอให้ภาครัฐลดภาษีนำเข้า เพื่อลดราคาให้ถูกลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง