“อนุทิน” แจงวิวาทะ ปมถ่ายโอน รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล ระบุเป็นอำนาจปลัดสธ. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปคุยกัน ไม่ใช่นโยบายใหม่ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ขอก้าวก่าย ฟากนายกฯอบจ.ยันไม่มีจังหวัดไหนขอโอนกลับ จี้เร่งเคลียร์เงินค้างท่อ 1 พันล้าน
วันที่ 25 มกราคม 2566 มติชนออนไลน์ รายงานว่า จากกรณีความขัดแย้งเรื่องการโอนย้ายภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.)/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งมีผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขออกมาเปิดเผยผลสำรวจว่าบุคลากรกว่า 40% อยากย้ายกลับมาสังกัด สธ. ทำให้ทางอบจ. และชมรมรพ.สต.ออกมาตอบโต้ว่าไม่เป็นความจริง รวมถึงอาจจะมีการฟ้องร้องผู้ให้ข้อมูลในฝั่งสธ.ด้วย
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่จะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนรัฐบาลชุดนี้จะเข้ามา เป็นเรื่องของสมัยรัฐบาลชุดที่แล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน ตนคงไม่สามารถมีนโยบายใหม่อะไรได้ เพราะเป็นเรื่องตามกฎหมาย
ซึ่งเมื่อเป็นกฎหมายก็จะเป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติ โดยส่วนของกระทรวงสาธารณสุขคือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องไปคุยกัน เพราะรัฐมนตรีวางนโยบาย แต่ไม่สามารถไปบอกว่า ต้องทำงานแบบนี้แบบนั้น หากทำจะถือเป็นการก้าวก่ายได้
“ผมเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีฯ ต้องบอกว่า เข้ามาหลัง พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2554 ซึ่งเป็นกฎหมาย เพราะฉะนั้นผมจะไปมีนโยบายว่า ไม่ให้ถ่ายโอน ย่อมทำไม่ได้ ขอย้ำว่ เรื่องนี้เป็นการปฏิบัติงาน เป็นเรื่องของปลัดกระทรวงฯ ไม่ใช่เรื่องของรัฐมนตรี” นายอนุทินกล่าว
นายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายกสมาคมอบจ.แห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรณี นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษก สธ.ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการติดตามประเมินผลหลังการถ่ายโอนภารกิจ สอน./รพ. สต. ให้แก่ อบจ. ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2566 และพบว่าบุคลากรกว่า 40% ที่โอนย้ายไปมีความต้องการขอย้ายกลับคืนสังกัด สธ.เนื่องจากเหตุผล 5 ประการนั้น ขอให้ระบุมาให้ชัดเจนว่ามีที่มาที่สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าบุคลากรกว่า 40% ที่กล่าวถึงนั้นคือใคร มีจังหวัดไหนบ้าง เพราะการถ่ายโอนบุคลากรจาก รพ.สต.มาสังกัด อบจ.ในปี 2566 นั้นมีถึง 20,000 กว่าคน ดังนั้นการที่ท่านบอกว่าจะขอโอนกลับสธ.ถึง 40 % แสดงว่ามีบุคลากรที่อยากโอนกลับไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
นายบุญชู กล่าวว่า ขณะที่สมาคมสอบถามไปยัง อบจ.ทั่วประเทศแล้วได้รับข้อมูลกลับมาว่ายังไม่มีจังหวัดไหนที่มีบุคลากรขอโอนกลับ หรือจะมีบ้างก็ประเภทที่มีความขัดแย้งกันใน รพ.สต.มาขอย้ายสลับไปอยู่ที่อื่น และส่วนใหญ่ก็จะมาทวงถามกันว่าเมื่อไหร่จะเปิดให้มีการประเมินเพื่อขึ้นระดับชำนาญการพิเศษมากกว่า
จึงขอให้ นพ.รุ่งเรือง ระบุให้ชัดว่าเอาข้อมูลมาจากไหน มีตัวตนจริงหรือไม่ เพราะท่านเป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวง ออกมาให้ข่าวลอยๆ แบบดิสเครดิตอบจ.อย่างนี้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อ อบจ.ทั่วประเทศ
นายบุญชู กล่าวว่า การที่ระบุว่าอบจ.ไม่มีความพร้อมในการรับการถ่ายโอนนั้น ขอเรียนว่า ก่อนที่ 49 อบจ.รับถ่ายโอน ได้ผ่านการประเมินความพร้อมจากคณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนฯ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีการให้คะแนนตามเกณฑ์ชี้วัดในด้านต่างๆ อย่างชัดเจน อีกทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และการถ่ายโอนจริงเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2565 ซึ่งมี ระยะเวลาที่ อบจ.ได้เข้าไปดำเนินการบริหาร รพ.สต.เพียง 3 เดือน ถือว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมากถ้าเทียบกับ รพ.สต.ที่อยู่กับสธ.เกือบ 100 ปี
ดังนั้นการมาด่วนสรุปในทำนองว่า อบจ.ล้มเหลวในการรับถ่ายโอน ต้องถามว่าเป็นธรรมกับ อบจ.หรือไม่ อยากให้กลับไปอ่านทบทวนประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจฯ ซึ่งลงนามโดย นายวิษณุ ในฐานะประธานคณะกรรมการการกระจายอำนาจฯ ซึ่งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 และมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
โดยประกาศ ฉบับนี้ได้ระบุให้ส่วนราชการต่างๆ โดยเฉพาะสธ. ต้องสนับสนุนการถ่ายโอน ในฐานะพี่เลี้ยงในหลายเรื่อง อยากให้ท่านไปทบทวนดูว่าข้อใหนได้ทำแล้วบ้าง โดยเฉพาะการแก้ไขระเบียบ ต่างๆ เพื่อเอื้อให้สามารถปฏิบัติได้ในช่วงแรกของการถ่ายโอน ซึ่งในบทเฉพาะกาลก็ได้ระบุว่า ภารกิจใดที่ยังไม่ได้มีการแก้ไขระเบียบหรืออยู่ในระหว่างดำเนินการก็ให้ถือปฏิบัติตามเดิมไปก่อนจนกว่าจะมีการแก้ไขระเบียบมารองรับ แต่สธ.ไม่ปฏิบัติตาม
เช่น กรณีเงินค้างท่อของ สปสช.ซึ่งเป็นผลงานของ รพ.สต. ที่ดำเนินการในช่วงโควิด-19 หรือเงิน HICI ซึ่งขณะนี้ได้มีการโอนไปที่โรงพยาบาลแม่ข่าย หรือ CUP แต่ไม่ยอมโอนต่อไปยัง รพ.สต.ที่ถ่ายโอน โดยอ้างว่าระเบียบเงินบำรุงของสธ.ไม่ให้โอนนอกสังกัด ทำให้ขณะนี้มีเงินก้อนนี้ค้างท่ออยู่เฉยๆ โรงพยาบาลก็ใช้ไม่ได้เพราะเป็นเงิน รพ.สต. ในขณะที่รพ.สต.ก็ไม่ได้ใช้เพราะโรงพยาบาลไม่โอนมาให้ ซึ่งทั่วประเทศคาดว่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
โดยทางผู้แทนสมาคม อบจ.ได้สอบถามทางสธ.ไปหลายครั้งแล้วแต่ยังเงียบ ไม่มีวี่แววของการแก้ไขปัญหา ทั้งที่ประกาศคณะกรรมการกระจายอำนาจฯ ได้เปิดช่องไว้ให้แล้วก็ไม่ยอมดำเนินการ หรือ แม้แต่เรื่องการเลื่อนขั้นเงินเดือนของบุคลากร เป็นต้น