ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากเเรก “เบนซ์” สมคบค้ายา 3 ก.ค.61 “แพท” พาลูกเยี่ยม

ศาลนัดสืบพยานโจทก์ปากเเรก “เบนซ์” สมคบค้ายา “แพท” พาลูกพบสามีต่างหลั่งน้ำตาดีใจ “เรซซิ่ง” ให้พ่ออุ้ม

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 7สิงหาคม ห้องพิจารณา 805 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจหลักฐานคดีอาญาหมายเลขดำ อย.2201/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดชหรือเบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 30 ปี นักแข่งรถชื่อดัง, นายสรรเสริญหรือเน็ต รสานนท์ อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา จ.นนทบุรี, น.ส.อังสุพรหรืออุ้ม อินา อายุ 29 ปี ภูมิลำเนา จ.น่าน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานฐานฟอกเงินและสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินฯ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3,5,9,60 และสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3,4,6,10,14 และ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522

อัยการได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา กรณีกล่าวหาว่าเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2559-2 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยทั้งสามกับนายณัฐพลหรือบอย นาคคำ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำ อย.2187/2560, อย.1883/2560, อย.1257/2560 ของศาลอาญา, นายชัยวัฒน์หรือแป๊ะ ชูสาย จำเลยคดีอาญายาเสพติดซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว กับพวกที่หลบหนีและยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันสมคบสนับสนุนช่วยเหลือเพื่อกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดยาไอซ์และยาบ้าที่เป็นยาเสพติดประเภท 1 และร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการเป็นผู้จัดหา ครอบครอง เก็บรักษา ลำเลียงยา หาลูกค้าและเป็นเครือข่ายการรับยาเสพติด รวมทั้งดำเนินการจัดการด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายยาเสพติดที่นายณัฐพลหรือบอย กับพวกเป็นผู้จัดหายาเสพติดและเป็นผู้ประสานงานในการขนถ่ายลำเลียง

โดยนายอัครกิตติ์, นายสรรเสริญและน.ส.อังสุพร จำเลยที่ 1-3 เปิดบัญชีธนาคารเพื่อทำธุรกรรมทางการเงินเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งได้มีการจัดการรับฝากเงินและโอนเงินค่ายาเสพติดไปยังบัญชีธนาคารบุคคลตามคำสั่งของนายณัฐพล รวม 53 ครั้ง เป็นเงิน 11,072,547 บาท โดยนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ยังนำเงินที่ได้รับจากนายณัฐพลไปซื้อรถลัมโบกีนีและรถจักรยานยนต์ราคาแพง

ระหว่างการพิจารณาคดี นายอัครกิตติ์ และนายสรรเสริญหรือเน็ต จำเลยที่ 1-2 ถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง ส่วนน.ส.อังสุพรหรืออุ้ม จำเลยที่ 3 ถูกคุมขังไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัว โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งสามมาเพื่อร่วมกระบวนพิจารณา ซึ่งระหว่างเดินทางมาขึ้นศาลจำเลยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนได้ถ่ายภาพในชุดนักโทษแต่อย่างใด

โดยเมื่อถึงเวลา ศาลได้สรุปคำฟ้องและอธิบายข้อกล่าวหาของอัยการโจทก์ให้จำเลยทั้งสามฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบถามว่าจะรับสารภาพหรือให้การปฏิเสธ ซึ่งจำเลยทั้งสามยืนยันให้การปฏิเสธ

ขณะที่วันนี้ อัยการโจทก์ ได้นำพยานเอกสาร 121 ฉบับรวม 6 แฟ้ม ซึ่งเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับเครือข่ายขบวนการยาเสพติดพื้นที่ภาคเหนือ และบัญชีพยานบุคคลรวม 20 ปากเสนอศาล พร้อมแถลงศาลขอเลื่อนนัดตรวจหลักฐานวันนี้ออกไปก่อน เนื่องจากคดีนี้เป็นเหตุที่สืบเนื่องมากจากคดียาเสพติด ที่อัยการ ได้ยื่นฟ้องนายณัฐพลหรือบอย นาคคำกับพวกไว้หลายสำนวน

ซึ่งวันนี้ศาลก็นัดตรวจหลักฐานคดีของนายณัฐพลหรือบอยสำนวนหนึ่ง แต่คณะทำงานอัยการก็ได้เตรียมรวมสำนวนคดีของนายณัฐพลกับพวกเพื่อตรวจหลักฐานพร้อมกันในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ ดังนั้นโจทก์จะขอเลื่อนการตรวจพยานหลักฐานของนายอัครกิตติ์กับพวก ไปหลังวันที่ 2 ตุลาคมนี้เพื่อรอฟังผลคดีของนายณัฐพลก่อน

แต่เมื่อศาล สอบถามนายศิวาวิทย์ สำเร็จผล ทนายความคนใหม่ที่นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 แต่งตั้งมาใหม่ และนายสมศักดิ์ พงษ์สุพรรณ กับนายสิทธิโชค ตรีเนตร ทนายความจำเลยที่ 2-3 แล้วปรากฏว่า นายศิวาวิทย์ ทนายความจำเลยที่ 1 ได้คัดค้านเนื่องจากเห็นว่าระยะเวลานานเกินไปและคดีที่ถูกฟ้องนี้ก็เป็นเรื่องของการฟอกเงินซึ่งจำเลยก็ให้การปฏิเสธ ขณะที่ตนต้องการจะรักษาสิทธิของคู่ความที่ต้องถูกคุมขังยาวนานออกไปอีกหากเลื่อนนาน ซึ่งตนมีแนวทางที่คิดว่าจะยื่นประกันขอปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นตรงตามที่ทนายความจำเลยที่ 1 ค้านว่าหากเลื่อนระยะเวลาถึงเดือนตุลาคมจะส่งผลให้คดีใช้ระยะเวลาพิจารณายาวนานเกินไป ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้เลื่อนการตรวจหลักฐานในวันนี้

จากนั้นอัยการจึงได้นำพยานเอกสาร 6 แฟ้ม 121 ฉบับ และบัญชีพยาน 20 ปาก ยื่นต่อศาลเพื่อให้ทนายจำเลยทั้งสามได้ตรวจดูรายละเอียด โดยโจทก์ขอเวลาสืบพยานรวม 10 นัด ส่วนจำเลยที่ 1-3 ทนายความ อ้างพยานร่วมกันรวม 17 ปาก ซึ่งมีจำเลยทั้งสามเป็นพยานด้วย โดยขอใช้เวลาสืบพยาน 4 นัด และได้ยื่นพยานเอกสารเสนอศาลอีก 1 รายการ ทั้งนี้ศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบพยานบุคคลตามที่เสนอ โดยกำหนดนัดสืบพยานโจทก์-จำเลย รวม 14 นัด ระหว่างวันที่ 3-25 กรกฎาคม 2561 เวลา 09.00 น. ซึ่งก่อนจะเริ่มสืบพยานศาลให้นัดพร้อมคู่ความเพื่อตรวจดูความพร้อมพยานที่จะเข้าเบิกความอีกครั้งเนื่องจากพยานกลุ่มที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจโยกย้ายหรือเกษียณราชการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ระหว่างที่ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน น.ส.ณปภาหรือแพท ภรรยาของเบนซ์ ได้เดินทางมาพร้อมมารดาของเบนซ์ และญาติๆ กับคนสนิท พร้อมด้วย “น้องเรซซิ่ง” บุตรชายวัย 5 เดือน มาให้กำลังใจ ซึ่งวันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งครอบครัวได้เจอพร้อมหน้ากันที่ศาลอาญา หลังจากเบนซ์ไม่ได้รับการประกันตัวตั้งแต่วันฟ้อง 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งระหว่างที่พบกันทั้งแพทและเบนซ์ ก็ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ขณะที่เบนซ์ยังคงยิ้มแย้มทักทายครอบครัวโดยไม่มีสีหน้าท่าทางอิดโรยหรือดำคล้ำไปจากเดิมหลังจากที่ถูกคุมขังในเรือนจำ เเละน้องเรซซิ่งยอมให้เบนซ์ บิดาอุ้มกอดหอมแก้มโดยดี ขณะที่เบนซ์และแพทถึงกับหลั่งน้ำตาดีใจที่ทั้งสองมีโอกาสพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด

ขณะที่จำเลยที่ 2-3 ก็มีครอบครัวและญาติๆ มาให้กำลังใจด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบัน น.ส.อังสุพร จำเลยที่ 3 ก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย

ขณะที่วันเดียวกันนี้ ห้องพิจารณาคดีที่ 712 ศาลอาญา ได้นัดตรวจหลักฐานคดีนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ ค้ายาเสพติด หมายเลขดำ อย.2187/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ เครือข่ายค้ายาเสพติดนายไซซะนะ เป็นจำเลย ในความผิดฐานสมคบกันกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและร่วมกันมียาบ้า ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต

โดยวันนี้ศาลได้เบิกตัวนายณัฐพล หรือบอย จำเลย มาจากทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางเพื่อร่วมกระบวนพิจารณาคดี ซึ่งตลอดการพิจารณานายณัฐพลไม่ได้รับการประกันตัวแต่อย่างใด

ขณะที่ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้อง ให้นายณัฐพล จำเลย ฟังแล้วถามว่าจะให้การรับสารภาพหรือปฏิเสธ ซึ่งจำเลยยืนยันให้การปฏิเสธ

อย่างไรก็ดี อัยการโจทก์ ได้แถลงต่อศาลขอเลื่อนนัดตรวจหลักฐานออกไปก่อน เนื่องจากคดีนี้พนักงานสอบสวน ได้จับกุมดำเนินคดีนายเทพประสิทธิ์ โตแย้ม ผู้ต้องหาอีกรายในคดีที่เกี่ยวข้องกันและกำลังจะยื่นฟ้อง ในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ ซึ่งโจทก์จะแถลงขอรวมพิจารณาสำนวนเดียวกัน เนื่องจากพยานหลักฐานในคดีเป็นชุดเดียวกัน

ศาลพิเคราะห์แล้ว จึงอนุญาตให้นัดพร้อมคู่ความเพื่อตรวจหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 09.00 น.

 

ที่มา : มติชนออนไลน์