เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2560 เวลา 13.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้าคณะรักษาความสงบเเห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมาตนได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นการส่วนพระองค์ เป็นการถวายรายงานการทำงานของรัฐบาลตามห้วงระยะเวลา ซึ่งตนเองได้ถวายรายงานในทุกๆ เรื่อง ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ ปัญหาอุทกภัย และการช่วยเหลือ โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกระแสรับสั่งประกอบด้วย
1) ทรงมีความห่วยใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ ทรงรับสั่งให้ช่วยเหลือตามมาตรการต่างๆ ด้วยความรวดเร็วและทั่วถึง ลดภาระการซ้ำซ้อน สิ่งใดที่สถาบันจะช่วยได้ก็จะทรงพระราชทานความช่วยเหลือมาให้อย่างที่ทรงทำในปัจจุบัน
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- เงื่อนไข ธอส. จัดเงินฝากออมทรัพย์ “เก็บออม” ดอกเบี้ยสูง 1.95%
นอกจากนี้ทรงรับสั่งให้มีการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนเป็นแต่ละพื้นที่ไป ถ้ายังไม่สามารถดำเนินการภาพรวมใหญ่ๆ ทั้งหมดได้ ก็ให้ทยอยดำเนินการไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนได้กราบบังคมทูลอธิบายถวายให้ทรงทราบแล้วว่ารัฐบาลกำลังมีโครงการต่างๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช ที่ทรงริเริ่มไว้มาหลาย 10 ปี
“บางโครงการก็ยังไม่สำเร็จ หรือยังไม่ครบ ซึ่งปัญหาไม่ได้อยู่ที่การทำ แต่อยู่ที่ประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในที่ดิน หรือพื้นที่ส่วนบุคคล ซึ่งในวันที่ 9 ส.ค. ผมจะหารือกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำในเรื่องดังกล่าวว่า จะต้องทำอะไรให้เกิดขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ซึ่งอาจจะต้องมีการเวนคืนที่ดินกันหรือไม่ หรือจำเป็นต้องเช่าพื้นที่เอกชนเพื่อเก็บกักน้ำให้ได้อย่างแท้จริง วันนี้ถ้าเราปล่อยให้น้ำท่วมถึงเวลาก็ไปเยียวยาก็ต้องไปดูในภาพรวมว่าในพื้นที่ดังกล่าวประชาชนมีรายได้อย่างไร ปลูกพืชปีละกี่ครั้ง และปริมาณน้ำท่วมเท่าไร ก็จะต้องไปหารือว่าจะใช้เป็นพื้นที่เก็บน้ำเลยได้หรือไม่” นายกรัฐมนตรีกล่าว
2) ทรงมีรับสั่งคือ ขอให้ทำให้ประเทศชาติ และประชาชนมีความสุข ซึ่งทรงย้ำเสมอทั้งเรื่องการช่วยเหลือ การบรรเทา การจัดระเบียบ การสร้างวินัย สร้างอุดมการณ์ ทรงรับสั่งว่าให้ทำทุกมาตรการอย่างต่อเนื่อง
3) ให้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาลในส่วนที่ดีงาม มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ทำให้นักท่องเที่ยวได้พบเห็นและชื่นชม ขอให้รักษาไว้ให้ได้
4) ทรงรับสั่งถึงภัยคุกคามในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภัยคุกคามในรูปแบบเก่า อธิปไตย ซึ่งวันนี้ก็น้อยเเล้ว โดยมีเฉพาะเรื่องของการรักษาทรัพยากรทั้งบนแผ่นดิน และผืนน้ำ ที่เป็นอาณาเขตของประเทศไทย จำเป็นต้องมีกำลังไว้ดูแลรักษา และทรงเป็นห่วงในเรื่องของภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ต้องเตรียมมาตรการรองรับไว้ให้เป็นสากล ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เกิดในประเทศอื่นก็จะมามีอิทธิพลต่อประเทศไทย อยู่ที่คนไทยทุกคนจะร่วมมือกัน
5) ทรงรับสั่งให้เร่งดูแลระบบการศึกษา ซึ่งปัจจุบันเรามีการปฏิรูปกันอยู่มากพอสมควร เพื่อเร่งกระบวนการเรียนรู้ให้คนไทยมีความรู้อย่างจริงจัง ทำงานได้สามารถที่จะมีอาชีพมั่นคง มัความเข้มแข็ง และมีหลักคิดที่ถูกต้องในทุกๆ เรื่อง จะได้ลดความขัดแย้ง
6) ทรงรับสั่งให้ช่วยกันส่งเสริมงานจิตอาสา ซึ่งตนได้สั่งการในที่ประชุม ครม.วันเดียวกันนี้ โดยนำแนวกระแสรับสั่งให้กระทรวงมหาดไทยไปจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครขึ้นมาในการดูแลพื้นที่ ดูแลความมั่นคง และในกิจการต่างๆ ลักษณะเป็นจิตอาสา หรือทำกิจการสาธารณะ เพราะบางอย่างถ้ารอข้าราชการทำฝ่ายเดียวไม่ทัน เพราะต้องผ่านกลไก และขั้นตอนต่างๆ แต่ถ้าช่วยกันคนละไม้คนละมือโดยจิตอาสาก็จะเกิดขึ้นได้เร็ว ภาระต่างๆ การใช้จ่ายงบประมาณก็จะลดลง จะได้นำงบประมาณไปทำอย่างอื่น
7) ทรงรับสั่งในเรื่องการดูแลประชาชนให้ความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างทรงขอว่าให้เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการ ให้มีหลักฐานที่ชัดเจน ให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรมให้ได้
8) ข้าราชการทุกหมู่เหล่า หรือส่วนราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการฝ่ายใดก็ตาม ขอให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง เป็นแม่แบบให้กับประชาชน ให้เกิดความเคารพศรัทธา และเชื่อมั่นในการทำงาน จะได้เกิดความร่วมมือ ลดผลกระทบระหว่างกันให้ได้ในการบังคับใช้กฎหมาย
เเละ 9) เรื่องสำคัญที่สุดคือทรงเสียใจในการสูญเสียพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และคนไทยทั้งประเทศก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งว่าขอให้ช่วยกันสร้างความเข้าใจขยายสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทำไว้อย่างมากมายให้ยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ซึ่งพระองค์ท่านทรงพระราชทานแนวทางไว้เป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงได้รับการสั่งสอนจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วย เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรที่จะต้องแก้ไข เพราะท่านทรงตรัสว่า “เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่สมเด็จพ่อได้ทรงทำไว้”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันก็ทรงให้นึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ในรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์ทรงพระราชทานสิ่งต่างๆ ไว้มากมายให้กับประเทศไทย ขอให้นำแนวทางพระราชดำริของทั้งสองพระองค์ไปขับเคลื่อน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็จะสนับสนุนและส่งเสริม สถาบันก็จะช่วยเหลือรัฐบาลในการทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนไปพร้อมๆ กัน มีอะไรขอให้ทูลฯ ให้ทราบ
สำหรับเรื่องการถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตนก็ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ได้มีการเตรียมการ มีความก้าวหน้าไปตามลำดับ เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่า อยากให้ประชาชนในทุกพื้นที่ ทุกจังหวัดมีส่วนร่วมในการวางดอกไม้จันทน์ แต่คงมาทั้งหมดไม่ได้ จึงขอให้จัดสถานที่ในการวางดอกไม้จันทน์ในทุกพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสวางด้วยมือของตัวเองอย่างทั่วถึง ซึ่งตนได้สั่งการในที่ประชุม ครม.วันนี้ไปแล้ว นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นต่อพวกเราทุกคน