กลุ่มผู้เสียหายสหกรณ์ฯคลองจั่น ร้อง “ดีเอสไอ” ค้านถอนอายัดทรัพย์

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 14 กรกฎาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธรรมนูญ อัตโชติ ประธานชมรมคุ้มครองสิทธิเจ้าหนี้รายย่อยของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด พร้อมด้วยสมาชิกประมาณ 50 คน ยื่นหนังสือคัดค้านถึงพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กรณีที่ดีเอสไอจะส่งทรัพย์ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีฟอกเงิน โดยผู้ที่ต้องการจะเอาทรัพย์ไปนั้น ใช้คำสั่งศาลแพ่ง ซึ่งผู้เสียหายจากสมาชิกสหกรณ์ฯคลองจั่นไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ สืบเนื่องจากที่ประธานกรรมการดำเนินการผู้บริหารแผนในนามคณะกรรมการผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการสหกรณ์ฯคลองจั่น ร้องขอให้ดีเอสไอปลดอายัดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด โดยมีพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้รับเรื่อง

นายธรรมนูญ กล่าวว่า สมาชิกสหกรณ์ฯคลองจั่น ผู้เสียหายจากคดียักยอกฉ้อโกงสหกรณ์ฯคลองจั่นฯ ต้องการให้ดีเอสไอ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ช่วยติดตามทรัพย์คืนเพื่อนำมาคืนให้กับเจ้าหนี้รายย่อย เนื่องจากที่ผ่านมาการทำคดีดังกล่าวพบว่าทรัพย์สินที่ดีเอสไอและปปง. ตรวจสอบพบมีจำนวนมาก และบางส่วนถูกโอนไปให้บุคคลอื่นถือครองแทน แต่ผู้บริหารสหกรณ์ฯคลองจั่นกลับไปทำยอมความรับคืนเงินเพียง 321 ล้านบาท จึงเกรงว่าจะทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการเฉลี่ยทรัพย์คืน

นายธรรมนูญ กล่าวต่อว่า อีกทั้ง ผู้บริหารสหกรณ์ฯคลองจั่นได้มีการยื่นฟ้องทางแพ่งจะได้รับชำระเพียงมูลค่าความเสียหาย แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการติดตามทรัพย์และค่าทนายความ 3 เปอร์เซ็นต์ โดยคำนวณจากมูลค่าทรัพย์ 3,811 ล้านบาท จะเป็นค่าทนาย 114 ล้านบาท หากให้ดีเอสไอและปปง.ดำเนินคดีและติดตามทรัพย์ในคดีฟอกเงินจะสามารถเรียกคืนทรัพย์สินที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้ต้องหาอดีตประธานสหกรณ์ฯคลองจั่น กับพวกยักยอกและฟอกเงินได้พร้อมกับดอกผล โดยไม่ต้องจ่ายค่าทนายความ

“ทรัพย์ 3,811 ล้านบาท ซึ่งพนักงานสอบสวนยึดได้ตั้งแต่ปี 2556 เป็นทรัพย์ที่เกี่ยวพันกับคดีฟอกเงิน งต้องถามว่าทำไมจึงพยายามที่จะเอาทรัพย์เหล่านี้ไปคืนตามกฎหมายแพ่ง เพราะการนำทรัพย์เหล่านี้ไปคืนตามกฎหมายแพ่งก็จะเป็นการฟ้องแพ่ง ทั้งที่สหกรณ์ฯคลองจั่น หรือผู้ฟ้องคดีทราบอยู่แล้วว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นเรื่องของการฟอกเงิน เพราะตั้งแต่ปี 2556 สหกรณ์ฯคลองจั่นได้ไปแจ้งความไว้เองว่ามีการยักยอกเงินสหกรณ์ฯคลองจั่น ซึ่งการยักยอกครั้งเดียวก็ไม่ถือเป็นความผิดมูลฐานของคดีฟอกเงิน แต่กรณีดังกล่าว เป็นการยักยอกเป็นปกติธุระ คืออดีตผู้บริหารได้ยักยอกเกินกว่า 1 ครั้ง จึงถือเป็นความผิดมูลฐานคดีฟอกเงิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน” นายธรรมนูญ กล่าว

นายธรรมนูญ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สหกรณ์ฯคลองจั่น มีการยอมความกับอดีตประธานสหกรณ์ฯ คลองจั่น ที่มีการยักยอกและเคยทุจริตจนนำไปสู่การถอนคดีความ โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายในคดีอื่น ที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีจำนวนมาก จนในที่สุดศาลได้ยกคำร้องไม่ให้ถอนคดี แต่ก็ยังมีความพยายามเดินหน้าขอถอนคดีในชั้นฏีกาอีก อีกทั้ง ปัจจุบันพนักงานและกรรมการสหกรณ์ที่เคยร่วมทีมกับอดีตประธานสหกรณ์ฯที่ร่วมกันฉ้อโกง ก็ยังคงทำงานตามปกติ จึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริหารงานของสหกรณ์ฯคลองจั่นในช่วงฟื้นฟูกิจการ

นายธรรมนูญ กล่าวด้วยว่า ในการฟ้องคดีเพ่งศาลสั่งให้นายศุภชัยชดใช้ค่าเสียหายให้กับสหกรณ์ 3,811 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 7.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ความเสียหายของสหกรณ์ฯคลองจั่นมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยนายศุภชัยนำไปซื้อที่ดินแล้วโอนให้คนอื่นถือครองแทน ซึ่งเป็นการฟอกเงิน หากมีนายทุนนำเงินมาชำระคืน 3,811 ล้านบาท เพื่อถอนอายัดของกลาง ก็จะได้ที่ดินคืนกลับไป เพราะปัจจุบันที่ดินดังกล่าวมูลค่าสูงกว่าราคาซื้อขายในปีที่เกิดปัญหาการยักยอก ดังนั้นหากยอมให้มีการถอนอายัดจึงเกรงว่าลูกหนี้รายย่อยจะไม่ได้รับคืนความเสียหายเลย

ด้าน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า ดีเอสไอจะรับเรื่องดังกล่าวไว้ และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับศาลแพ่งด้วย ตนในฐานะที่เป็นผู้แทนอธิบดีดีเอสไอ ก็จะรับเรื่องและเสนออธิบดีดีเอสไอ เพื่อมอบหมายให้พนักงานสอบสวนไปดำเนินการต่อไป

 

ที่มา มติชนออนไลน์