ถอดแนวคิด ‘แคนาดา’ ยื่นศาลเบรกควบรวมธุรกิจโทรคมฯ หวั่นทำราคาพุ่ง-กีดกันการค้า

ถอดแนวคิดกรณีศึกษาจากแคนาดา “บอร์ดการแข่งขันทางการค้า ” ยื่นฟ้องศาลฯ ขอคำสั่งให้ยุติการควบรวมกิจการของค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ หลังเจรจาซื้อกิจการของน้องเล็กในตลาด ระบุการกระทำดังกล่าวส่งผลเสียรุนแรงต่ออุตสาหกรรมและผู้ใช้งานในประเทศ เพราะจะเปิดช่องให้รายใหญ่ที่กินแชร์กว่า 87% สามารถขึ้นราคาได้ตามที่ต้องการ เป็นการกีดกันการแข่งขันอย่างเสรีในประเทศ   

แม้ว่ากระแสการควบรวมธุรกิจ Mergers and Acquisitions หรือ M&A เพื่อสร้างความอยู่รอดให้แก่ธุรกิจของตัวเองกำลังเป็นเทรนด์ของโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้การดำเนินงานในหลายๆ อุตสาหกรรมที่ไม่สามารถทำรายได้หรือผลกำไรได้แล้วสามรถไปต่อไป หลายบริษัทย่อมมองหาพันธมิตรหรือคู่ค้าเพื่อมาเสริมประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของตัวเอง แต่หากมองในกลุ่มธุรกิจที่เป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานนั้น การควบรวมธุรกิจจะต้องไม่เป็นไปในลักษณะผูกขาดตลาดหรือทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในทางตรงและทางอ้อม

ในประเด็นที่สืบเนื่องกรณีดังกล่าว สามารถถอดบทเรียนได้จากอีกหนึ่งกรณีศึกษาในต่างประเทศ นั่นคือ กรณีเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า (สำนักงานฯ) หรือ “บอร์ดกขค.” ของประเทศแคนาดา ได้ยื่นฟ้องต่อคณะตุลาการแข่งขันทางการค้า (Competition Tribunal) เพื่อขอให้คณะตุลาการฯ มีคำสั่งห้ามการควบรวมกิจการของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในประเทศ ระหว่าง Rogers และ Shaw ที่มีมูลค่าสูงถึง 2,600 ล้านเหรียญ รวมถึงขอให้คณะตุลาการฯ มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมิให้ Rogers และ Shaw ควบรวบกิจการเสร็จสมบูรณ์ (Closing) จนกว่าคณะตุลาการจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น 

โดยสำนักงานฯ ได้ใช้อำนาจตามกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้าของประเทศแคนาดา ว่าด้วยการควบรวมกิจการทุกขนาดในทุกอุตสาหกรรมนั้น จะตกอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมาธิการการแข่งขันทางการค้า (Commissioner of Competition) ทั้งนี้ สำนักงานฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้คณะกรรมาธิการ จะดำเนินการตรวจสอบเพื่อรวบรวมและพิจารณาหลักฐานที่เกี่ยวข้องว่าการควบรวมครั้งนี้ จะมีผลเป็นการลดหรือขัดขวางการแข่งขันในตลาดใด ๆ ในประเทศแคนาดาหรือไม่

ปัจจุบันสภาพการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมของแคนาดานั้นมีผู้ให้บริการอยู่ 4 ราย ประกอบด้วย Rogers เป็นผู้ให้บริการไวร์เลสรายใหญ่ที่สุดในแคนาดา โดยมีผู้ใช้บริการประมาณ 11.3 ล้านคนทั่วประเทศ ผ่านแบรนด์ Rogers, Fido, Chartr และ Cityfone 

ขณะที่ Shaw เป็นผู้ให้บริการรายที่ 4 มีผู้ใช้บริการราว 2.1 ล้านคน ให้บริการในออนทาริโอ้ อัลเบอร์ต้า และ บริทิชโคลัมเบีย โดย Shaw เข้าสู่ตลาดในแคนาดาหลังจากซื้อกิจการ Wind Mobile ในปี 2559 หลังจากนั้นได้ รีแบรนด์เป็น Freedom Mobile และในขณะเดียวกัน Shaw ก็ยังให้บริการไวร์เลสกับลูกค้าภายใต้แบรนด์ Shaw Mobile ควบคู่ไปด้วย

ดังนั้น จากการสอบสวนของคณะกรรมการว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าแคนาดา พบว่า หลังจากซื้อกิจการ Wind Mobile ดังกล่าวแล้ว Shaw ได้ประกาศตัวในฐานะคู่แข่งขันที่แข็งแกร่ง และ ดิสรัปชั่นการให้บริการในภูมิภาค ซึ่งข้อมูลที่ได้รับระหว่างการสืบสวน พบว่าจำนวนผู้ใช้บริการของ Shaw เพิ่มขึ้น 101% อีกทั้ง ยังมีข้อมูลที่ได้รับระหว่างการสืบสวนระบุว่าลูกค้าจำนวนมากเปลี่ยนผู้ให้บริการระหว่าง Shaw และ Rogers บ่อยครั้ง

สำนักงานฯ ระบุว่าการเติบโตของ Shaw ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นวัตกรรมด้านการบริการส่งผลดีโดยตรงกับผู้บริโภค เพราะเป็นผู้ให้บริการในแคนาดารายแรกที่ไม่มีค่าใช้จ่ายหากใช้บริการดาต้า หรือ อินเทอร์เน็ตเกินกว่าที่กำหนด และเป็นรายแรกที่ให้อุปกรณ์ฟรีโดยมีสัญญาผูกมัด อีกทั้งยังเป็นรายแรกที่ให้ข้อเสนอค่าโทรฟรีสำหรับการใช้อินเตอร์เน็ตด้วย ทำให้หากในอนาคตมีการควบรวมกิจการของสองบริษัท สำนักงานฯ เห็นว่า จะทำให้ตลาดถูกลดการแข่งขันในการให้บริการในทันที จึงเป็นเหตุให้สำนักงานฯ จำเป็นต้องยื่นฟ้องต่อคณะตุลาการ เพื่อป้องกันมิให้มีการควบรวมกิจการ และเพื่อปกป้องประโยชน์ของประชาชนชาวแคนาดา 

คำฟ้องของสำนักงานฯ นั้น ระบุเหตุผลและข้อกล่าวหาไว้ ดังนี้ 

1.การดำรงอยู่ของ Shaw ในธุรกิจสื่อสารไร้สายนั้น เป็นประโยชน์กับประชาชนชาวแคนาดา

1.1 Shaw เข้าสู่ตลาดการสื่อสารไร้สายในช่วงปี 2559 หลังจากที่ซื้อกิจการของ Wind Mobile ทั้งนี้ สำนักงานฯ พบว่า Shaw ได้กลายเป็นผู้แข่งขันรายสำคัญอย่างรวดเร็วในตลาดที่มีผู้ให้บริการรายใหญ่ระดับประเทศ จำนวน 3 ราย ได้แก่ Rogers Bell และ Telus (“กลุ่ม Big 3”) ที่มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันกว่า 87%

1.2 สำนักงานฯ พบว่า Shaw สร้างแรงกดกันให้กับกลุ่ม Big 3 อย่างสม่ำเสมอโดยการลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาคุณภาพของเครือข่ายจาก 3G จนถึง LTE และ 5G นอกจากนี้ สำนักงานฯ ยังพบอีกว่า Shaw ดึงดูดลูกค้า โดยกำหนดค่าบริการที่ถูกกว่า ให้ปริมาณข้อมูลที่ลูกค้าสามารถใช้ได้มากกว่า ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ทำให้ ส่วนแบ่งการตลาดของ Shaw เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นับแต่ที่มีการออกโปรโมชั่น “Big Gig” เมื่อปี 2560 ทั้งนี้ โปรโมชั่น “Big Gig” นั้น เปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถใช้ปริมาณข้อมูลได้มากกว่าในราคาที่สมเหตุสมผล 

นอกจากนี้ Shaw ยังเป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ยกเลิก overage fee และเสนอเครื่องมือสื่อสารที่ปราศจากสัญญาผูกมัด อีกทั้งยังเป็นผู้บริการรายเดียวที่มีโปรโมชั่นโทรศัพท์ราคา 0 ดอลล่าร์อีกด้วย ดังนั้น สำนักงานฯ จึงมีความเห็นว่า การเติบโตของ Shaw จะเป็นผลดีต่อประชนชาวแคนาดา เนื่องจากเป็นการผลักดันค่าบริการให้ลดลง และเพิ่มการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านปริมาณโควต้าของข้อมูลในการใช้งานที่เพิ่มขึ้น

2.การควบรวมกิจการระหว่าง Rogers กับ Shaw เป็นภัยต่อการแข่งขันทั้งในปัจจุบันและอนาคต

สำนักงานฯ เห็นว่า การแข่งขันระหว่าง Rogers กับ Shaw นั้น ลดลงแล้ว เนื่องจาก ก่อนที่มีการประกาศถึงการควบรวมกิจการครั้งนี้ เดิม Shaw วางแผนที่จะก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ โดยการลงทุนในบริการ 5G แต่เมื่อมีการประกาศการควบรวมกิจการ การลงทุนดังกล่าวก็กลับลดลง ตามลำดับ และเป็นภัยต่อการแข่งขัน นอกจากนี้ หากปล่อยให้มีการควบรวมกิจการต่อไป จะยิ่งเป็นภัยต่อการแข่งขันมากกว่าเดิม

ดังนั้น สำนักงานฯ จึงต้องฟ้องคณะตุลาการเป็นคดีนี้ เพื่อให้คณะตุลาการมีคำสั่งห้ามมิให้มีการควบรวมกิจการ ประการสำคัญ คำฟ้องของสำนักงานฯ นั้น ยังได้กล่าวว่า การควบควมกิจการข้างต้น จะขัดขวางและลดการแข่งขันในตลาดการสื่อสารไร้สายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก 1. เป็นการกำจัดผู้ให้บริการอิสระที่เก็บค่าบริการในอัตราต่ำ 2. ขัดขวางการแข่งขันในตลาดการสื่อสารไร้สายในอนาคต รวมถึงบริการ 5G ทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ 3. ขัดขวางการแข่งขันในตลาดการสื่อสารไร้สายในพื้นที่อย่าง ออนทาริโอ้ อัลเบอร์ต้า และ บริทิช โคลัมเบีย 4. เพิ่มความเป็นไปได้และความสะดวกในการประสานงานกันระหว่างกลุ่ม Big  3 อันจะทำให้ค่าบริการมีอัตราสูงขึ้น

ในท้ายที่สุดสำนักงานฯ ยังได้ระบุไว้ในคำฟ้องอีกว่า กรณีที่ Shaw ถูกจำกัดออกจากตลาดไปแล้ว ส่วนแบ่งการตลาดของ Rogers ที่เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดอยู่แล้วในกลุ่ม Big 3 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการที่ไม่มีผู้แข่งขันในระดับภูมิภาคอย่าง Shaw จะส่งผลให้ลูกค้าจ่ายค่าบริการเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย เนื่องด้วย Bell และ Telus จะไม่สามารถจำกัดอำนาจทางการตลาดของ Rogers ได้ ทั้งนี้ เพราะผู้ให้บริการทั้งสองรายดังกล่าวไม่ได้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันเฉกเช่นเดียวกับ Shaw

นอกจากนี้ จากการศึกษาปี 2562 ยังพบอีกว่า กลุ่ม Big 3 สามารถเก็บค่าบริการในอัตราที่สูงกว่า ยกเว้นในพื้นที่ที่มีผู้ให้บริการในระดับภูมิภาคแข่งขันอยู่ด้วยซึ่งมีค่าบริการถูกกว่าถึง 30-40% ดังนั้น สำนักงานฯ จึงได้ระบุว่า หากปล่อยให้มีการควบรวมกิจการเกิดขึ้น จะทำให้อัตราค่าบริการนั้น กลับมาเหมือนก่อนที่จะมีการออกโปรโมชั่น “Big Gig” กล่าวคือ มีราคาสูงและอัตราคงที่

สำนักงานฯ ยืนยันว่า Shaw ที่ให้บริการไวร์เลสสำหรับลูกค้ากว่า 2 ล้านราย ในออนทาริโอ้ อัลเบอร์ต้า และ บริทิช โคลัมเบีย เป็นคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของ Rogers ที่ต่อสู้กับผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้ง 3 ราย ด้วยการปรับปรุงคุณภาพของเครือข่าย และดึงดูดลูกค้าด้วยราคาที่โดนใจ คิดอัตราค่าบริการที่ต่ำกว่าแต่ลูกค้าได้รับประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ ในด้านนวัตกรรมตั้งแต่เข้าสู่ตลาดบริการไวร์เลสในปี 2549 จากการลดค่าบริการทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมาค่าบริการของแคนาดาถือว่าอยู่ในอัตราาที่สูงมากที่สุดแห่งหนึ่งในหมู่ประเทศพัฒนาแล้ว 

นายแมทธิว บอสเวลล์ คณะกรรมการ (บอร์ด) ว่าด้วยการแข่งขันทางการค้า ประเทศแคนาดา กล่าวว่า สำนักงานฯ เองจะดำเนินการสืบสวนอย่างเข้มงวดสำหรับความพยายามควบรวมกิจการระหว่าง Rogers กับ Shaw และสรุปได้ว่า การควบรวมที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นการป้องกัน หรือ ทำให้การแข่งขันทางการค้าในธุรกิจไวร์เลสลดน้อยลง การกำจัด Shaw จะทำลายความเข้มแข็งและการแข่งขันอย่างเสรีของธุรกิจไวร์เลสในแคนาดา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการลดราคา จึงเป็นเหตุให้สำนักงานฯ เร่งดำเนินการเพื่อยับยั้งการควบรวมนี้เพื่อปกป้องการแข่งขันทางการค้า และทางเลือกในการเข้าถึงบริการที่ดีของผู้บริโภคแคนาดา ที่ควรต้องได้รับบริการที่ดีสามารถเข้าถึงได้ง่ายและมีคุณภาพสูง

ที่มาข้อมูลจากเว็บไซต์รัฐบาลแคนาดา : Competition Bureau seeks full block of Rogers’ proposed acquisition of Shaw. 

https://www.canada.ca/en/competition-bureau/news/2022/05/competition-bureau-seeks-full-block-of-rogers-proposed-acquisition-of-shaw.html