พ่อค้าต่างชาติแห่บินซื้อ “หมาก” ราคาผลสด-แห้งพุ่ง 70-100 บาท/กก.

พ่อค้าอินเดีย-จีน-เมียนมา-ดูไบ-เวียดนามแห่บินรับซื้อผลผลิตหมากสด-แห้งในภาคใต้-ตะวันออก ทำราคาพุ่ง 70-100 บาท/กก. ขณะที่ “ต้นกล้าพันธุ์” คุณภาพขาดตลาด แห่จองซื้อนับแสนต้น

นายณรงค์สิชณ์ สุทธาทิพย์ ผู้รับซื้อหมากรายใหญ่ ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันรับซื้อทั้งหมากแห้ง (หมากแดง) หมากสดจากเกษตรกรและพ่อค้าย่อยที่รับซื้อนำมาคัดไซซ์ ตาก-อบแห้ง ทำคุณภาพเป็นหมากแห้ง 100%

ส่งให้พ่อค้าไทยที่ส่งออกและพ่อค้าต่างประเทศ อินเดีย จีน เมียนมา ดูไบ ซึ่งเข้ามาติดต่อรับซื้อโดยตรง เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูง ทำให้ราคาหมากปีนี้ราคาสูงขึ้น

ตั้งแต่ช่วงก่อนถึงฤดูกาลในเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ราคารับซื้ออยู่ที่ กก.ละ 50 บาท สูงกว่าปี 2563 ราคา 35-40 บาท ราคาเฉลี่ยทั้งปี 60 บาท/กก. คาดว่าปีนี้เฉลี่ยน่าจะถึง 70 บาท/กก. เพราะปริมาณหมากน่าจะน้อยกว่าปีก่อน

รับซื้อทั้งหมากแห้งที่แกะเปลือกแล้วและหมากสุกเป็นลูก นำไปตากแดดและอบให้แห้ง จากนั้นนำมาคัดไซซ์ตามขนาดมาตรฐาน แบ่งเป็น 3 เกรดคือ เกรดคุณภาพดีราคา 50 บาท/กก. หมากลาย 10-20 บาท/กก.

หมากเสีย 5 บาท/กก. มีออร์เดอร์เฉลี่ยเดือนละ 2 ครั้ง รายละ 4-10 ตัน แต่ละปีมีสต๊อกหมุนเวียนซื้อขาย 50-60-100 ตัน ไม่มีสต๊อกข้ามปี เพราะเก็บไว้นานข้ามปีมีปัญหาเรื่องมอด ตอนนี้มีพ่อค้าเวียดนามมาซื้อหมากดิบและหมากสุกไปแกะเปลือกขายเองด้วย

“ภาคตะวันออกส่วนใหญ่ปลูกหมากพันธุ์พื้นเมือง มีความสูง 10-15 เมตร ลูกใหญ่ เนื้อมาก ลูกสวย กลม เป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศได้ราคาดี แต่ผลผลิตน้อย ส่วนใหญ่ปลูกพืชแซมเป็นผลพลอยได้ ต่างจากหมากอินโดนีเซียที่ลูกเล็กกว่าและออกสีดำ ๆ ราคาต่ำกว่า 10-15 บาท/กก.

และหมากภาคอีสานลูกเล็กกว่าราคาต่ำกว่า 5-10 บาทพ่อค้ารับซื้อบางรายนำมาผสมปนกัน ตอนนี้มีคนสนใจปลูกเพิ่มขึ้น มีการเก็บลูกจากต้นพันธุ์พื้นเมืองดี ๆ ขายลูกละ 1.50-2 บาท และเพาะกล้าพันธุ์ชำต้นละ 10-15 บาท ขายเฉพาะต้น 5 บาท ทางเวียดนาม กัมพูชา เริ่มนำไปปลูกกัน

นางสาวดวงพร เวชสิทธิ์ เกษตรกร อ.คิชกูฏ จ.จันทบุรี กล่าวว่า ที่สวนปลูกหมาก 3,000 ต้น แซมในสวนมังคุด พื้นที่ 30 ไร่ เพราะราคาดีและไม่ต้องดูแลมาก โดยเลือกปลูก 3 พันธุ์ ที่ลูกใหญ่เนื้อมาก คือ

พันธุ์หมากเวียดนาม (ลูกเขียว) พันธุ์พื้นบ้านหรือตูดแตก และพันธุ์ 5 ดาว หมากเตี้ยคนไม่นิยม ลูกไม่ดก ช่วงปี 2563-2564 ราคาหมากแดงดีมาก กก.ละ 4-5 บาท ปี 2564 ขึ้นมา 9-10 บาท เคยสูงถึง 20 บาท หมากเวียดนาม ราคา กก.ละ 70 บาท บางครั้งสูงถึง 80 บาท

“ควรส่งเสริมให้หมากเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคตะวันออก โดยให้ความรู้การทำคุณภาพ การพัฒนาสายพันธุ์ เพิ่มผลผลิตให้มีปริมาณมาก สร้างความมั่นใจให้เกษตรกรตัดสินใจปลูกพืชเชิงเดี่ยว

เพราะยังมีปลูกกันน้อยเทียบกับภาคใต้ ขณะที่สภาพภูมิอากาศร้อนชื้นมีความเหมาะสม เพื่อให้ผู้ประกอบการส่งออกมาลงทุนใช้นวัตกรรมแปรรูปหมากแดงที่ลดขั้นตอนและระยะเวลา เพราะภาคตะวันออกมีช่วงฝนตกยาวนาน 7-8 เดือน เกษตรกรจะขายตรงได้ราคาสูงขึ้น”

สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จ.ระยอง รับผิดชอบ 9 จังหวัด คือ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี ระยอง สมุทรปราการ สระแก้ว มีพื้นที่ปลูกหมาก5,565 ไร่ ของพื้นที่ทั้งประเทศ 37,058 ไร่ ใน 9 จังหวัด 4 อันดับที่ปลูกมาก คือ

ฉะเชิงเทรา 2,879 ไร่ จันทบุรี 903 ไร่ ระยอง 888 ไร่ ตราด 826 ไร่ ข้อมูลจะน้อยกว่าสภาพจริงเพราะส่วนใหญ่ปลูกเป็นพืชแซมไม่ได้ขึ้นทะเบียน

ดร.สมบัติ ชนะสิทธิ์ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลแม่ขรี อ.ตะโหมด จ.พัทลุง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความต้องการหมากที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ต้นกล้าเริ่มขาดแคลน

โดยเฉพาะสายพันธุ์หมากตูดเหลี่ยมที่ จ.ตรัง มีการสั่งจองซื้อ 100,000 ลูก โดยรับซื้อลูกละ 1 บาท ไปเพาะต้นกล้า 3 เดือนได้ความสูง 25 ซม. ราคา 4 บาท/ต้น คาดว่าอีก 5 เดือน สายพันธุ์หมากตูดเหลี่ยมออกสู่ตลาด

“นักลงทุนจีนที่เข้ามาตั้งโรงงานที่พัทลุง ที่ผ่านมารับซื้อผลหมากประมาณ 15 ตันต่อวัน ล่าสุดได้เพิ่มเป็น 20 ตัน/วัน ราคารับซื้อหน้าโรงงาน 30 บาท/กก. นำไปแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต

โดยนำไปต้มให้สุกแล้วบรรจุใส่ถุงพลาสติก ราคา 500 บาทต่อ 10 ชิ้น ขณะที่หมากแห้ง หมากสุก หมากแก่ ประเทศอินเดียรับซื้อไม่อั้น โดยอินเดียได้เสนอซื้อหมากแห้ง 3 เกรดคือ เกรดเอ เกรดบี และเกรดซี โดยเกรดเอมีราคาประมาณ 3 เหรียญสหรัฐต่อ กก. (100 บาท/กก.)

ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร กรมวิชาการเกษตร รายงานว่า ปี 2564 มีแผนผลิตพันธุ์หมาก 5,000 ต้น ปี 2565 มีแผนการผลิต 3,000 ต้น โดยขายราคาต้นละ 15 บาท จำกัดเกษตรกรซื้อได้คนละไม่เกิน 250 ต้น

ทั้งนี้ การทำแผนการผลิตในแต่ละปีจะคำนึงถึงยอดการสั่งจองของเกษตรกรเป็นหลัก หากได้รับความนิยมในตลาดต้องหารือไปยังหน่วยงานกลาง เพื่อขอจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้นในปีถัดไป ขณะนี้มีเกษตรกรจากทุกภาคโทร.เข้ามาสอบถามกันจำนวนมาก