ท็อปกอล์ฟ ทุ่มบุกไทยปักธงเมกาซิตี้ ชูศูนย์รวมความบันเทิง กีฬา อาหาร

ท็อปกอล์ฟ

“ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้” สปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สัญชาติสหรัฐ เปิดฉากชิงเม็ดเงินธุรกิจร้านอาหาร-อีเวนต์ย่านบางนา ชูจุดเด่นศูนย์รวมความบันเทิงกีฬา สังสรรค์กินดื่ม จัดอีเวนต์ พร้อมจัดโปรฯลดราคาฉลองเปิดตัว หวังเหมาลูกค้านักกอล์ฟ คนทำงานยันครอบครัว

นายทิม โบดา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ท็อปกอล์ฟ ประเทศไทย ผู้บริหาร “ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้” สปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจากศักยภาพของประเทศไทยในแง่ของธุรกิจร้านอาหารและการจัดอีเวนต์ ที่สะท้อนจากความคึกคักของธุรกิจดังกล่าว ขณะเดียวกัน กีฬากอล์ฟได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง

ตั้งแต่ช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 และหลังการระบาด ทำให้มีผู้บริโภคสนใจเล่นกีฬากลางแจ้งมากขึ้นอีก ประกอบกับพื้นที่ย่านบางนามีความเหมาะสมทั้งจากการเป็นแหล่งชุมชน ที่มีโรงเรียนนานาชาติ ห้างสรรพสินค้า บ้านจัดสรร ฯลฯ รวมถึงยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านเข้าออกจำนวนมาก

บริษัทได้จับมือบริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเมกาบางนา ลงทุนนำธุรกิจสปอร์ตเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สัญชาติสหรัฐ “ท็อปกอล์ฟ” ซึ่งเป็นศูนย์ความบันเทิงแนวกีฬา โดยมีสนามไดรฟ์กอล์ฟเป็นศูนย์กลาง เสริมด้วยร้านอาหาร-เครื่องดื่ม รวมไปถึงห้องประชุมและพื้นที่จัดอีเวนต์ สามารถรองรับผู้เข้าใช้บริการได้ถึง 1,200 คน เข้ามาเปิดให้บริการ ในพื้นที่โครงการมิกซ์ยูส “เมกาซิตี้” ใกล้เมกาบางนา

โดยเซ็นสัญญาเมื่อปี 2562 และเริ่มก่อสร้างพื้นที่รวม 47,000 ตร.ม. (29 ไร่) จนแล้วเสร็จ และเตรียมเปิดบริการในวันที่ 17 ส.ค. 2565 ถือเป็นสาขาแรกในประเทศไทย และสาขาแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากปัจจุบันมีสาขากว่า 70 แห่งใน 6 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เม็กซิโก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ

ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ท็อปกอล์ฟ กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานจากนี้ไป จะใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากสาขาในประเทศอื่น โดยเสริมจุดเด่นด้านอาหารเป็นพิเศษ ทั้งการเพิ่มร้านค้า เมนู และผนึกพันธมิตร เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ชาวไทย ตามเป้าจับกลุ่มลูกค้าทั้งผู้ที่เล่นและไม่เล่นกอล์ฟตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่

“สาขาในต่างประเทศรายได้จากเกมกอล์ฟจะมีสัดส่วนมากกว่าร้านอาหาร แต่ในไทยเชื่อว่ารายได้จากร้านอาหารจะสูงถึง 50% หรือครึ่งหนึ่งของรายได้รวม เช่นเดียวกับสัดส่วนลูกค้าที่คาดว่า 50% จะไม่เคยเล่นกอล์ฟมาก่อน จึงให้ความสำคัญกับด้านนี้เป็นพิเศษ”

โดยจะมีการเพิ่มไฮไลต์ที่มีเฉพาะสาขาในประเทศไทย อย่างรูฟท็อปบาร์ “Pink Giraffe” ซึ่งอยู่บนชั้น 4 ของอาคาร รองรับทั้งการรับประทานอาหารตามปกติและการจัดงานเลี้ยง เช่นเดียวกับการปรับเมนูอาหารให้เข้ากับผู้บริโภคชาวไทย และสร้างความแปลกใหม่ด้วยการนำเทคนิคการปรุงอาหารแบบ American BBQ ใช้กับเมนูอาหารไทย รวมทั้งการมีร้านอาหาร-เครื่องดื่มอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Topgolf Sport Bar บาร์สไตล์อเมริกันสมัยใหม่ พร้อมกับจอรับชมกีฬาขนาดใหญ่ความละเอียด 4K ขนาด 550 นิ้ว (7X4 เมตร) และจอ HDTV อีก 15 ตัว

“ส่วนพื้นที่และกิจกรรมอื่น ๆ ก็จะมีตามต้นฉบับ ไม่ว่าจะเป็นฮิตติ้งเบย์ 102 เบย์ แต่ละเบย์รองรับผู้เล่นสูงสุด 6 คน และการนำปัจจัยการเล่นเกมเข้ามาผสมกับการตีกอล์ฟ โดยฝังไมโครชิปในลูกกอล์ฟสำหรับติดตามวิถีและระยะของลูกกอล์ฟเพื่อเล่นเกมต่าง ๆ”

พร้อมจัดโปรโมชั่นลดราคาช่วงเปิดตัวเพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้าทดลองใช้บริการ ด้วยโปรโมชั่น “Solo 9 to 5” ผู้เล่นสามารถตีลูกกอล์ฟจำนวนไม่จำกัดในราคา 350 บาทต่อชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการครั้งแรกจะมีค่าแรกเข้าอีก 150 บาท จำกัดเฉพาะช่วงวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น. ซึ่งถูกกว่าค่าบริการปกติที่จะอยู่ประมาณ 850-1,450 บาทต่อชั่วโมงต่อเบย์

รวมถึงจับมือโคคา-โคลาจัดกิจกรรม “Red Target Hole in One Challenge” ตั้งแต่ 17 สิงหาคม-15 กันยายน 2565 ผู้ที่สามารถทำโฮลอินวัน จากแท่นทีออฟระยะ 25 หลา จะได้รับ “โค้ก” รสออริจินัล หรือ “โค้ก” ไม่มีน้ำตาลนาน 3 เดือน โดยจะเดินหน้าจัดอีเวนต์เป็นระยะ เพื่อให้แบรนด์อยู่ในการรับรู้ของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้จะรองรับกลุ่มเด็กและครอบครัว ด้วยศูนย์ฝึกอบรมการเล่นกอล์ฟ “Topgolf Academy” ซึ่งมีการสอนสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 เดือนถึง 88 ปี หรือมากกว่า โดยทีมโค้ชที่ผ่านการรับรองจาก PGA อีกด้วย

“ด้วยราคาและบริการที่คุ้มค่า คาดว่าจะช่วยสร้างฐานลูกค้าและการรับรู้แบรนด์ได้ในวงกว้าง จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่องภายใน 3-5 ปี รวมถึงนำโมเดลของไทยไปต่อยอดขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้าน” ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ท็อปกอล์ฟ ประเทศไทยกล่าว