สมาคมผู้ค้าปลีกฯ เผยไตรมาสแรกน่ากังวล วอนรัฐบาลใหม่ชุบกำลังซื้อ

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีก ม.ค.-มี.ค. 2566 ลดลงต่อเนื่อง 3 เดือน หลังผู้บริโภคชะลอจับจ่าย แม้จะมีปัจจัยบวก อาทิ เทศกาลปีใหม่-ตรุษจีน ช้อปดีมีคืน รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น วอนรัฐบาลใหม่ยกเครื่องมาตรการชุบกำลังซื้อ

วันที่ 5 เมษายน 2566 นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ไม่เพียงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) จะลดลง 13.5 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2565 แล้ว ดัชนีอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth) QOQ, ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ยังลดลงด้วย

การลดลงนี้สะท้อนว่าผู้บริโภคฐานราก กำลังซื้อยังอ่อนแออยู่มาก รวมทั้งภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโดยสาร ส่งผลให้ผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคจะลดกิจกรรมนอกบ้านลงอีก เนื่องจากกังวลเรื่องโรคฮีตสโตรกหรือโรคลมแดดจากอากาศที่ร้อนจัด และฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีตามภูมิภาคพบว่าความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมทรงตัวทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคอีสานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด บ่งบอกถึงธุรกิจยังคงฟื้นตัวไม่สมดุล โดยพื้นที่ท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าพื้นที่อื่น

ทางด้านธุรกิจห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, สุขภาพและความงามฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ส่วนร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างชะลอตัว และร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงไม่ฟื้นตัว

รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวต่อไปว่า ทางสมาคมจึงมีความเห็นว่าหลังการเลือกตั้ง ควรรีบจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อเร่งกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านการสร้างงาน การจ้างงาน และลดภาระค่าครองชีพซึ่งต้องมีมาตรการหลากหลาย มุ่งเป้าให้ตรงกลุ่มต่าง ๆ ไม่ซ้ำซ้อน

เน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน, ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน โดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่องและระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน

ทั้งนี้ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “ประเมินการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก” ของผู้ประกอบการที่สำรวจ 3 ช่วง ระหว่างวันที่ 17 มกราคม-26 มีนาคม 2566 ดังนี้

1.การประเมินต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ต่อการปรับราคาสินค้า

ผู้ประกอบการร้อยละ 79 ระบุว่า ที่ผ่านมาธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินการที่เพิ่มขึ้น แต่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาสินค้าได้บางส่วนเท่านั้น

  • ร้อยละ 21 ส่งผ่านต้นทุนทั้งหมดเข้าสู่ราคาสินค้าแล้ว
  • ร้อยละ 40 ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้าไม่เกิน 10%
  • ร้อยละ 31 ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้า 10-20%
    ร้อยละ 7 ส่งผ่านต้นทุนเข้าสู่ราคาสินค้า 21-30%

2.แนวโน้มในการปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดรับกับราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า

  • ร้อยละ 24 ไม่ปรับราคาเพิ่ม
  • ร้อยละ 43 ปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5%
  • ร้อยละ 26 ปรับเพิ่มขึ้น 6-10%
  • ร้อยละ 7 ปรับเพิ่มขึ้น 11-20%

3.ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับราคาสินค้า

  • อันดับ 1 ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น
  • อันดับ 2 ส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทั้งหมด
  • อันดับ 3 ราคาสินค้า/บริการอื่นที่ไม่ใช่ต้นทุนปรับสูงขึ้น
  • อันดับ 4 คู่แข่งปรับขึ้นราคา
  • อันดับ 5 รักษากำไร
  • อันดับ 6 อุปสงค์ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้ประกอบการประเมินโครงการ “ช้อปดีมีคืน” (ระหว่าง 1 ม.ค.-16 ก.พ. 66) มีผลดังนี้

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินว่า โครงการ “ช้อปดีมีคืน” จะช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

  • ร้อยละ 43 ยอดขายเท่าเดิม-ไม่เพิ่มขึ้น
  • ร้อยละ 50 ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10%
  • ร้อยละ 7 ยอดขายเพิ่มขึ้น 10-20%

“ภาพรวมการค้าปลีกไทยฟื้นตัวแบบไม่เท่ากัน (K-Shaped Recovery) กำลังซื้อโดยรวมยังเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มฐานรากที่อ่อนแอ ค่าแรงแพง และการขาดแคลนแรงงานนับเป็นปัญหาหลักของภาคค้าปลีกและบริการ รัฐบาลใหม่จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ของกลุ่มฐานราก และเพิ่มการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายและท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยการร่วมมือกับทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ผลักดันภาพรวมของค้าปลีกไทยกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง” นายฉัตรชัยกล่าวในตอนท้าย

ดัชนีค้าปลีกไตรมาสแรก 2566