เปิดตัวเลขร้านอาหารดัง MK-เซ็นกรุ๊ป ไตรมาส 3/66 กำไรร่วง

เปิดตัวเลขร้านอาหารดัง ไตรมาส 3/66

ธุรกิจร้านอาหารยิ้มรับ ไตรมาส 3 ปี 2566 หลังเปิดนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน (Dine-in) ดันรายได้โต “ไมเนอร์ฟู้ด-S&P” รายได้-กำไรยังโตแกร่ง แม้ต้นทุนเพิ่มสูง ขณะที่ “MK-เซ็นกรุ๊ป” กำไรร่วง จับตาไตรมาสสุดท้าย ช่วงจับจ่ายใช้สอย-วันหยุดยาวต่อเนื่อง

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สถานการณ์โควิดภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตตามปกติ รวมถึงการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารกลับมามีรายได้-กำไรที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 โดยเฉพาะการนั่งรับประทานทานอาหารที่ร้าน หรือ Dine-in ที่กลับมาคึกคักอย่างมาก แต่ธุรกิจร้านอาหารบางแบรนด์กลับมีกำไรที่ลดลง

“ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจผลประกอบการธุรกิจร้านอาหารยักษ์ใหญ่ “ไมเนอร์ฟู้ด-เอ็มเค-CRG-S&P-เซ็นกรุ๊ป” ไตรมาส 3 ปี 2566 ใครโตมาก โตน้อย

ไมเนอร์ฟู้ด Q3/66 กวาดรายได้ 7,718 ล้านบาท

เริ่มต้นจากบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เจ้าของร้านอาหาร เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, เบอร์เกอร์ คิง ฯลฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (รวมยอดขายสาขาแฟรนไชส์) เติบโตขึ้น 4%

หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 7,718 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ รวมถึงกําไรจากกิจการร่วมค้าที่เติบโตขึ้น

ขณะที่ 9 เดือน ยอดขายโดยรวมทุกสาขาเติบโต 13.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดขายโดยรวมของทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในทุกประเทศ ส่วนยอดขายต่อร้านเดิมเติบโต 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงกิจกรรมการขายที่เพิ่มขึ้นจากความสำเร็จของกลยุทธ์ทางธุรกิจของไมเนอร์ฟู้ด

โดยในไตรมาส 3 ปี 2566 ไมเนอร์ฟู้ด มีธุรกิจอาหารสารพัดแบรนด์ดัง เช่น เดอะ พิซซ่า คัมปะนี, เบอร์เกอร์คิง, ซิซซ์เล่อร์, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, เดอะ คอฟฟี่ คลับฯ ซึ่งมีร้านรวมแล้ว 2,607 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 1,309 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 1,298 สาขา ครอบคลุม 23 ประเทศ

ร้านริเวอร์ไซด์ กริลล์ ฟิช แอนด์ หม่าล่า

MK ไตรมาส 3/66 กำไรสุทธิลดลง

บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านเอ็มเค สุกี้ ยาโยอิ แหลมเจริญ ยามาซากิฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 4,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท หรือเพิ่มเพียง 0.7% เท่านั้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

โดยช่องทางขายหลักยังคงเป็น Dine-in ที่เติบโตและมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 86% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีสัดส่วน 82% ส่วนดีลิเวอรี่ลดมาอยู่ที่ 8% จากปีก่อน 12%

และมีกำไรสุทธิ 389 ล้านบาท ปรับลดลง 19 ล้านบาท หรือลดลง 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในด้านต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาทิ ค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ โดยได้มีการปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 177 ล้านบาท หรือ 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ภาพรวม 9 เดือนแรก ยอดขายอยู่ที่ 12,619 ล้านบาท เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และยอดขายสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 8.9%

MK

“S&P” Q3/66 รายได้-กำไรโตแกร่ง

ด้านฝั่งบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ SNP เจ้าของร้านอาหารและเบเกอรี่ภายใต้แบรนด์ “เอส แอนด์ พี” รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้รวม 1,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน

โดยร้านอาหารในประเทศขายดีขึ้น 95 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน และร้านอาหารต่างประเทศก็ไม่น้อยหน้าเติบโตขึ้น 6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน

และมีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้ จากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิไม่ได้มาจากยอดขายที่เติบโตเพียงอย่างเดียว

แต่ยังเกิดจากการ Lean ในกระบวนการผลิต การบริหารค่าใช้จ่ายในโรงงานได้ดี ท่ามกลางต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่าเช่า ค่าแรง และค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค

ขณะที่ 9 เดือน มีรายได้ 4,562 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 429 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 358 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน

S&P

“เซ็น กรุ๊ป” Q3/66 โตดี แต่กำไรลด

บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของร้านอาหาร ZEN, Musha by ZEN, Sushi Cyu Carnival Yakiniku, AKA, On the Table Tokyo cafe, ตำมั่ว, เขียง ฯลฯ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้รวม 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93 ล้านบาท หรือ 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

โดยมีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจร้านอาหารในช่องทางรับประทานอาหารที่ร้านเติบโตขึ้น 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการปรับรูปแบบธุรกิจ การพัฒนาแบรนด์ และการออกโปรโมชั่นต่าง ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

และมีกำไรสุทธิ 46 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 9 ล้านบาท หรือลดลง 16% ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรลดลงมาจากที่กลุ่มบริษัท มีค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น ทั้งค่าเช่า ค่าบริการ ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายพนักงานให้บริการลูกค้าในร้านอาหารเพิ่มขึ้น จากจำนวนสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของเพิ่มขึ้น

ขณะที่ 9 เดือนแรก ทำรายได้รวมทั้งกลุ่มบริษัท อยู่ที่ 2,883 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิของทั้งกลุ่มบริษัท อยู่ที่ 134 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22 ล้านบาท หรือ 20%

ต้องจับตาดูไตรมาส 4 หรือไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 กันต่อไป เพราะเป็นช่วงของการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปี และเป็นช่วงที่มีวันหยุดต่อเนื่องหลายวัน

AKA
ภาพจากเว็บไซต์ https://www.zengroup.co.th/