ลุ้น ‘แรงซื้อ’ รากหญ้าฟื้น ‘เทสโก้-บิ๊กซี’ โหนรับบัตรคนจนทั่ว ปท.

จับกระแสตลาด

 

การขยายจำนวนผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน รอบล่าสุดจาก 11.4 ล้านคน เพิ่มขึ้นอีก 3.1 ล้านคน ไม่เพียงทำให้ร้านขายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐอยู่แล้วนั้น เตรียมเพิ่มสินค้าไว้รองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น

แต่ยังรวมถึงความเคลื่อนไหวของร้านค้าปลีกรายใหญ่อย่าง “เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี” ที่เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ด้วยจำนวนผู้ถือบัตรมากขึ้นรวมแล้ว 14.5 ล้านคน และการเพิ่มเงินพิเศษในกระเป๋า 500 บาท เป็นของขวัญให้จับจ่ายในเทศกาลช่วงปีใหม่

ล่าสุด “เทสโก้ โลตัส” พร้อมเปิดให้บริการผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้แล้วทุกสาขาทั่วประเทศ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 จะเริ่มนำร่องในสาขาขนาดใหญ่ และขนาดกลาง ส่วนร้านสะดวกซื้อ “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” จะเริ่มในวันที่ 15 ธันวาคม 2561 พร้อมรับเงินคืนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 5%

ปัจจุบัน “เทสโก้” มีประมาณ 2,000 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้ง 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก โดยแต่ละสัปดาห์มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้ากว่า 15 ล้านคน

“สลิลลา สีหพันธุ์” ประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส ฉายภาพว่า เทสโก้ โลตัส มีนโยบายในการช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เข้าร่วมโครงการชดเชยเงินคืนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ใช้เงินในส่วนกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในการซื้อสินค้า ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนที่กรมบัญชีกลางเติมเงินให้ผู้ถือบัตรรายเดือน และส่วนที่ผู้ถือบัตรเติมเงินเอง

โดยเครื่องรูดบัตรอัตโนมัติ (EDC) ทุกเครื่องของเทสโก้ โลตัส จะสามารถรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐส่วนกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ถือบัตรทั่วประเทศ โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561 สำหรับสาขาขนาดใหญ่และขนาดกลางประมาณ 400 สาขา และตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2561 สำหรับสาขารูปแบบเอ็กซ์เพรส ประมาณ 1,600 สาขาทั่วประเทศ

“เพื่อช่วยเหลือลดค่าครองชีพให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม เทสโก้ โลตัส จะทำโปรโมชั่นพิเศษ เพิ่มเติมออกมาเรื่อย ๆ”

เช่นเดียวกับ “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” นอกจากซื้อสินค้าด้วย “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” แล้วนั้น ได้ออกแคมเปญเพิ่มเพื่อต้อนรับปีใหม่สำหรับสมาชิกบิ๊กการ์ดที่มาจับจ่ายและซื้อสินค้าด้วย “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป รับคูปองส่วนลดเพิ่มความคุ้มค่าในการจับจ่ายด้วยคูปองส่วนลดมูลค่า 180 บาท

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า การเข้าร่วมของยักษ์ค้าปลีก เทสโก้ และบิ๊กซี นั้นยังเป็นในรูปแบบของเงินในส่วนกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนที่กรมบัญชีกลางเติมเงินให้
ผู้ถือบัตรรายเดือน และส่วนที่ผู้ถือบัตรเติมเงินเอง ส่วนเงินช่วยเหลือสำหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคโดยตรงยังคงต้องซื้อผ่านร้านธงฟ้าประชารัฐที่เข้าร่วม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านค้ารายย่อย

ตัวเลขกระทรวงพาณิชย์ระบุเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีร้านค้ารายย่อยสมัครเข้าร่วมโครงการร้าน
ธงฟ้าประชารัฐแล้วกว่า 15,000 ราย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะได้จัดส่งรายชื่อร้านค้าที่ผ่านคุณสมบัติไปให้กรมบัญชีกลางอนุมัติ จากนั้นเมื่อกรมบัญชีกลางจะส่งให้ธนาคารกรุงไทยนำเข้าระบบ โดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้เงินมาจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม จำนวน 38,730 ล้านบาท เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้ผู้มีรายได้น้อย และยกระดับคุณภาพชีวิต

ด้านร้านสะดวกซื้อ “ซีเจ เอ็กซ์เพรส” เชนค้าปลีกของกลุ่มคาราบาวแดง ที่เข้าร่วมร้านสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่แรกเริ่ม

“วีรธรรม เศรษฐสิทธิ์” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารร้าน ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทเปิดรับชำระค่าสินค้าจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีสาขาของซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่สามารถใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐรูดซื้อสินค้า และทำเรื่องคืนภาษีได้ ประมาณ 200 สาขา จากสาขาทั้งหมด 320 สาขา โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่ผู้ถือบัตรเลือกที่จะจับจ่ายก็คือ สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ข้าวสาร น้ำมัน น้ำปลา ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม-31 ธันวาคม 2561 ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต ยังจัดแคมเปญสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถสะสมยอดซื้อ แลกรับสินค้าพรีเมี่ยม ได้แก่ ยอดซื้อ 1,000 บาท รับตะกร้า และยอดซื้อครบ 1,500 บาท รับถัง 30 ลิตร

อย่างไรก็ตาม การเติมเม็ดเงินและปลุกแรงซื้อในช่วงส่งท้ายปีของภาครัฐผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ศูนย์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยระบุว่า อาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียง 0.1-0.2 % เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อมั่นเศรษฐกิจ และเม็ดเงินอาจจะยังไม่ค่อยหมุนวียนในระบบเท่าที่ควร

การเติมเม็ดเงินของภาครัฐ และการทุ่มสารพัดแคมเปญที่ร้อนแรงของภาคเอกชน เพื่อปลุกแรงซื้อรากหญ้าให้สะพัดและกลับมาให้เร็วที่สุด