หยุดยาวดันดัชนีค้าปลีก เม.ย. บวก 9.9% ค้าปลีกจี้รัฐอัดฉีดเม็ดเงินต่อเนื่อง

ค้าปลีก รับลูก ศบค.คลายล็อกห้างฯ ขยายเวลาเปิดถึงสี่ทุ่ม เริ่ม 16.ต.ค.นี้

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยชี้ดัชนีค้าปลีกเดือนเมษาส่งสัญญาณดีขึ้นบวกเพิ่ม 9.9% จากอานิสงส์วันหยุดยาวต่อเนื่อง แย้มคลายล็อกเปิดประเทศส่งผลดีกลุ่มค้าปลีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 10.3 จุด ชง 3 ข้อเสนอ มาตรการกระตุ้น-เร่งเบิกเม็ดเงินลงทุน-พยุงราคาพลังงาน ย้ำรัฐใส่เกียร์เดินหน้าอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ ผลักดันเศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่อง

วันที่ 6 พฤษภาคม 2565 สมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการ ค้าปลีกประจำเดือนเมษายน 2565 ในภาพรวมพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก Retail Sentiment Index (RSI) เดือนเมษายนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 56.4 ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนมีนาคมที่ 46.5 จุด

ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์
ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์

สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องสองช่วงในเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมถึงการส่งเสริมการขายของร้านค้าต่าง ๆ และประกอบกับข่าวการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว

ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น 10.3 จุด จากระดับ 48.9 จุด ในเดือนมีนาคม มาที่ 58.7 จุดในเดือนเมษายน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโอมิครอน ซึ่งกำลังเป็นช่วงขาลง และรัฐบาลกำลังจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า “ผลการสำรวจรอบนี้ของเราต้องบอกว่ายอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG-YOY) ปรับเพิ่มขึ้น 9.9 จุด และอยู่เหนือค่าเฉลี่ยกลางที่ 50 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนับจากเดือนธันวาคม 2564 การเพิ่มขึ้นนี้เป็นการเพิ่มขึ้นในลักษณะ K-Shape ซึ่งเป็นรูปแบบการฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดจนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่บางส่วนยังไม่ฟื้นตัวและยังคงอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การฟื้นตัวไม่ครอบคลุมทุกประเภทร้านค้า

สำหรับร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า แฟชั่น ความงาม และภัตตาคาร-ร้านอาหาร ถือว่าเป็น K-Shape ขาขึ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีจากนโยบายการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ และการยกเลิก Test & Go สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งการปลดล็อกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดของทุกจังหวัดเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางและดำรงชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ร้านค้าปลีกประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของ K-Shape ขาลง และมีสัดส่วนกว่า 65% ของภาคค้าปลีกทั้งประเทศ กลับเติบโตน้อย สะท้อนให้เห็นว่า กำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เนื่องจากการจ้างงานยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายส่งเสริมและอุดหนุนของภาครัฐที่ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าโครงการของภาครัฐ สามารถพยุงเศรษฐกิจไทยให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระตุ้นให้เกิดการบริโภคในกลุ่มสินค้าหรือบริการผ่านโครงการประชารัฐ โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน และช้อปดีมีคืน ก่อให้เกิดผลบวกต่อผู้ประกอบการภาคการค้าปลีก ภาคการท่องเที่ยว และกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ในระดับที่น่าพอใจ

ด้านผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนต่อภาคการค้าที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-26 เมษายน 2565 พบว่า 70% มีผลต่อต้นทุนสูงขึ้น 17% มีผลต่อการวางแผนธุรกิจยากขึ้น ขณะที่แผนการการปรับราคาสินค้าในสามเดือนข้างหน้า พบว่า 52% เพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% และ 44% เพิ่มขึ้นระหว่าง 11-20% ขณะที่ 4% เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% และ 87% ของผู้ประกอบการ 87% จะปรับราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้าอีก 57% มีสต็อกเพียงพอแค่ 3 เดือน

ภาพรวมเศรษฐกิจให้ฟื้น จึงมี 3 ข้อเสนอเพื่อให้ภาครัฐเร่งผลักดัน ได้แก่ 1.คงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐไว้อย่างต่อเนื่อง ภาครัฐควรพิจารณากระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน ผ่านหลากหลายโครงการของรัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่ง โครงการช้อปดีมีคืน และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน

2.เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยภาครัฐ ภาครัฐควรมีการอนุมัติการลงทุนและดำเนินการโครงการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว เพื่อเร่งสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

3.พยุงราคาพลังงานให้คงที่และได้นานที่สุด ภาครัฐควรพิจารณาใช้ทุกมาตรการในการช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนผ่าน การพยุงราคาพลังงาน เพื่อให้ค่าครองชีพไม่ปรับตัวแบบก้าวกระโดด อาทิ การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการออกมาตรการควบคุมราคาค่าขนส่ง

“ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของภาครัฐในการใส่เกียร์เดินหน้าเต็มกำลังในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยการกระตุ้นการบริโภคผ่านนโยบายของภาครัฐถือเป็นหัวใจสำคัญในการเดินหน้าประเทศไทย ซึ่งภาครัฐได้ดำเนินการมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว และควรผลักดันให้มีมาตรการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายฉัตรชัยกล่าว