อิสราเอล ปี 2540

Israel
Israel
คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : เมตตา ทับทิม

เขียนจากลิ้นชักความทรงจำ ถ้าคลาดเคลื่อนไปบ้างโปรดให้อภัย

ณ เดือนมิถุนายน 2540 ก่อนหน้าที่รัฐบาลไทยจะมีการประกาศมาตรการเงินบาทลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ประมาณเดือนเศษ ๆ

มีโอกาสร่วมทริปไปกับบริษัทสหฟาร์ม ไปดูงานที่กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เยี่ยมชมเทคโนโลยีโรงเชือดไก่แบบการุณยฆาต ไม่แน่ใจว่าเรียกแบบนี้จะถูกต้องหรือไม่ จำได้แต่ว่ากระแส animal welfare แรงมาก

ตลาดส่งออกสำคัญคือโซนยุโรป ซึ่งนานมากจนกระทั่งเขายังไม่ได้รวมเป็นสหภาพยุโรป (EU) ด้วยซ้ำไป

บอกผู้ส่งออกไก่ไทยจะเข้าตลาดยุโรป ต้องมีมาตรการหรือมีเทคโนโลยีทำให้ยุโรปกินไก่แล้วสบายใจ ว่าได้ดูแลสวัสดิภาพไก่เป็นอย่างดี ตายอย่างมีความสุข ก่อนจะกลายเป็นวัตถุดิบปรุงเมนูเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร

นี่คือภาพจำแรกว่า อยากดู อยากช็อปเทคโนโลยีทันสมัย ต้องมาที่อิสราเอล

ประสบการณ์ล้ำค่าของทริปนี้ เริ่มต้นตั้งแต่เช็กอินสนามบินนานาชาติดอนเมืองขาออก (ตอนนั้นไม่ต้องถามถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ยังเป็นวุ้นอยู่เลย มีแต่คนเรียกว่าสนามบินหนองงูเห่า เพราะถมที่ดินบ่อกุ้งบ่อปลาเก่า 20,000 ไร่ เต็มไปด้วยงูเห่ามาลักกินปลากินกุ้ง)

กระเป๋าเดินทางที่แพ็กมาอย่างดี ถูกสั่งให้เปิดให้เจ้าหน้าที่ดูทุกชิ้น ทุกกระเป๋า จบจากด่านขาออก ผู้โดยสารทุกคนจะถูกสอบถามว่ามีใครฝากถือ ฝากของ หรือฝากแม้แต่กระดาษ 1 แผ่นหรือไม่ ตอบไปว่าไม่มี

รอขึ้นเครื่องจนขาซ้ายพาดอยู่บันไดขั้นแรกแล้ว การตรวจสอบเข้มข้นทำอีกครั้งหนึ่ง เปิดกระเป๋าให้ดูอีกรอบ และตอบคำถามเดิมว่าไม่มีใครฝากกระดาษ 1 แผ่น

เพิ่งได้รับคำเฉลยทีหลังว่า ไฟสงครามที่ปะทุอยู่ภายในประเทศ นอกจากแข่งขันในสมรภูมิรบแล้ว เทคโนโลยีล้ำ ๆ เคยมีการระเบิดเครื่องบินได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียว กระดาษที่มีการอาบน้ำยาเคลือบสารอะไรของเขานั่นแหละที่เป็นตัวจุดชนวน

ใครฟังก็ต้องร้อง โห หนังสายลับเจมส์บอนด์ 007 ชิดซ้ายตกขอบโลกไปเลย เพราะนี่คือชีวิตจริง

ทริปดูงานจริง ๆ ไม่กี่วัน นอนโรงแรมที่ด้านหน้าคือทะเล แต่ไม่ค่อยได้ชื่นชมกับบรรยากาศมากนัก เพราะหมายถือว่าแน่นอยู่พอสมควร แต่ก็อุตส่าห์เจียดเวลาเดินเล่นรอบโรงแรม ตอนนั้นพกกล้องแคนนอน EOS พกฟิล์มฟูจิ โกดัก

ปักหมุดหน้าโรงแรม ด้านหน้าเป็นทะเล บังคับเลี้ยวซ้ายหรือขวาเท่านั้น ตัดสินใจเดินเลี้ยวซ้ายเพราะเคยชินกับการขับรถเลนซ้ายในเมืองไทย อืมม์ ขออนุญาตเล่าว่าบรรยากาศไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่ เดินไม่ถึงกิโลฯ ก็ต้องหาทางกลับโรงแรม

เจอเด็กวัยรุ่นพยายามบอกชื่อโรงแรม และทำภาษามือให้รู้ว่าช่วยบอกทางด้วย ไม่รู้เก็บกดมาจากไหน ตะโกนโหวกเหวกเป่าปากปี๊ดปิ้ว เหมือนเห็นนักท่องเที่ยว (ซึ่งก็คือเรา) เป็นตัวตลก สภาพตึกรามบ้านช่องแหงนมองไปทางไหนก็เห็นรูกระสุน รูเล็กบ้างใหญ่บ้างอยู่ตามผนัง

ได้ไปดูงานที่คิบบุตซ์ (ไม่แน่ใจตัวสะกด) ถ้าให้อธิบายจะพูดว่าเป็นสมาร์ทซิตี้ในยุคนี้ เหมือนนิคมอุตสาหกรรมในบ้านเรา ถัดจากดูงานก็คือโปรแกรมพาเที่ยว ได้ไป 2 จุดที่นักท่องเที่ยวต้องเช็กอิน

1 คือ ทะเลสาบเดดซี ที่อุดมด้วยแร่ธาตุหนาแน่น ทำให้น้ำทะเลมีความเข้มข้น การเดินลงไปแช่โคลนเดดซีไกด์ต้องสอน ให้เดินช้า ๆ หรือเดินถอยหลังลงทะเล ถ้าเดินก้าวสวบ ๆ อาจหน้าทิ่มได้ และแน่นอนสัมผัสทะเลทรายอีกนิดหน่อย มีคนได้นั่งอูฐด้วย

อีก 1 คือ เมืองศักดิ์สิทธิ์เยรูซาเลม ซึ่งในชีวิตหนึ่งได้มีโอกาสเข้าไปสักการะสถานที่สำคัญของ 3 ศาสนาหลักของโลก อากาศเยรูซาเลมมีแดดจ้า แต่หนาว เพราะอุณหภูมิน่าจะ 10 กว่าองศาเท่านั้น

เรื่องทึ่งมากที่สุดน่าจะเป็นสวัสดิการของรัฐ ไกด์ประจำทริปชื่อคุณกาเบรียล ชายอิสราเอลสูงวัยเล่าให้ฟังว่า ทำงานมาหลายอย่าง เบื่อก็หยุดเฉย ๆ รัฐบาลดูแล หายเบื่อก็ลุกขึ้นมาทำงานไกด์ นางบอกว่าตอนนี้กำลังสนใจจะกลับไปเรียนหนังสือ อยากต่อปริญญาโทอีกสักใบ ซึ่งเรียนฟรี ไม่จำกัดอายุ

ป้ายตามถนนหนทางเห็นมีรูปนางงามจักรวาล เป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะคนอิสราเอลส่วนใหญ่ที่เจอ ผู้ชายหล่อ ผู้หญิงสวย เขาพาไปดูไร่ที่คนงานไทยทำงานอยู่ เป็นไร่ดอกทิวลิปสำหรับส่งออกไปยุโรป เจ้าของสวนบอกว่างานอีเวนต์และโรงแรมในยุโรปเยอะ ออร์เดอร์เพียบ

คนอิสราเอลไม่ทำงานมือเปื้อน จึงเป็นโอกาสของแรงงานไทย เงินเดือนดี 2 หมื่นกว่าบาท ถือว่าหรูมากเทียบกับยุค 26 ปีที่แล้ว ลักษณะงานก็ปลูก-เก็บ-ห่อดอกทิวลิป ถือว่างานไม่หนักเท่าอยู่เมืองไทย แต่ต้องแลกกับการอยู่ไกลครอบครัวอันเป็นที่รัก

ที่หลับที่นอนเป็นตู้คอนเทนเนอร์ น้ำ ไฟฟ้า สวัสดิการ ถือว่าคุณภาพชีวิตไม่ได้แย่อะไรเลย ความคิดถึงเมืองไทยถูกเยียวยาด้วยชุมชนแรงงานไทยด้วยกัน

ปี 2566 ไฟสงครามในอิสราเอลตอนนี้ ดีกรีน้อง ๆ สงครามโลกครั้งที่ 3 นั่งดูข่าวน้ำตาร่วง รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ออกค่าใช้จ่ายให้แรงงานไทยกลับบ้านแบบฟรี ๆ แต่นายกฯ กำลังกลุ้มใจ มีแรงงานไทยลงทะเบียนขึ้นเครื่องบิน แต่เปลี่ยนใจอยู่ต่อ

ในฐานะคนอีสานด้วยกัน ขอส่งเสียงเว้าดัง ๆ ให้อ้ายและเอื้อยแรงงานไทยกลับบ้านเฮาเด้อพี่น้องเด้อ ชีวิตเป็นของมีค่า อย่าแลกกับเงินเดือนไม่กี่บาทเลย คิดถึงหัวอกพ่อตู้แม่ตู้ที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะลูกยังติดหล่มดงระเบิด

กลับบ้านเรา รักรออยู่