
คอลัมน์ : Market-think ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
สงสัยไหมครับว่าทำไมค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท จึงไม่ประกาศขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเลย
แต่กลับไปขึ้นค่าแรงในเดือนตุลาคม
หรือว่ารัฐบาลมีแผนอะไร
ถ้าอ่านเกมของรัฐบาล ผมรู้สึกว่าเขาวางแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
อัดฉีดเงินทุกก้อนลงในช่วงสั้น ๆ
เงินก้อนแรก คือ งบประมาณปีนี้ที่เพิ่งผ่านสภาไป
งบฯก้อนนี้อั้นมานาน จากปกติที่เคยเบิกจ่ายได้ตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว
และค่อย ๆ ทยอยใช้จนครบปีงบประมาณ
แต่พอเปลี่ยนรัฐบาล กว่างบฯจะผ่านสภาก็เสียเวลาเกือบ 7 เดือน
หมายความงบฯทั้งหมดต้องใช้ให้หมดภายใน 5 เดือน
โดยเฉพาะงบฯลงทุนกว่า 700,000 ล้านบาท
ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เราจะเห็นการเบิกจ่ายงบประมาณครั้งใหญ่
สภาพจะคล้าย ๆ กับน้ำในสายยางที่ถูกบีบ
น้ำจะพุ่งแรงมาก
และจะส่งผลในไตรมาส 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4
เงินก้อนที่สอง คือ งบประมาณปีหน้า ที่จะเริ่มใช้จ่ายตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้
หรือไตรมาส 4
เป็นงบฯลงทุนประมาณ 742,000 ล้านบาท
เงินก้อนที่สาม คือ “ดิจิทัลวอลเลต” 500,000 ล้านบาท
ถ้าเป็นไปตามแผนของรัฐบาล ไม่ติดปัญหาเรื่องกฤษฎีกา หรือระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
เงินก้อนนี้จะเข้าสู่ตลาดในไตรมาสที่ 4
วงเงิน 500,000 ล้านบาท อาจมีบางส่วนที่ซ้ำซ้อน เพราะกว่าครึ่งหนึ่งมาจากงบประมาณปี 2567 และ 2568
อีกส่วนหนึ่งมาจาก ธ.ก.ส.
เงินก้อนนี้จะอัดฉีดโดยตรงไปที่ผู้บริโภค
และบังคับให้หมุนอย่างน้อย 2 รอบ
ส่วนเงินก้อนสุดท้าย คือ การขึ้นค่าแรง 400 บาท
ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่เลือกขึ้นค่าแรงในเดือนตุลาคม ส่วนหนึ่งเพื่อลดแรงกดดันจากนายจ้างหรือเปล่า
ลองคิดดูนะครับ ถ้าขึ้นค่าแรงเดือนพฤษภาคม นายจ้างโวยหนักแน่นอน
เพราะยอดขายก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว
จะมาเพิ่มต้นทุนอีก
แต่ถ้าเป็นเดือนตุลาคม รัฐบาลยังอ้างได้ว่าทุกธุรกิจมีโอกาสขายดีจากเงิน 3 ก้อนแรกในไตรมาส 4
“รายได้เพิ่ม-ค่าแรงเพิ่ม” ดูค่อยมีเหตุผลหน่อย
อีกส่วนหนึ่ง “ค่าแรง” ที่เพิ่มขึ้น มี 2 มุม
มุมหนึ่ง คือ เพิ่มต้นทุนให้นายจ้าง
อีกมุมหนึ่ง คือ การเพิ่มกำลังซื้อให้กับตลาด
เพราะเมื่อพนักงานได้เงินเพิ่มก็จะซื้อของมากขึ้น
นี่คือ เงินอีกก้อนหนึ่ง ที่อัดฉีดเข้าตลาดในไตรมาสที่สี่
และเมื่อมองภาพรวม ยุทธศาสตร์การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ คือ การรวมเงินทั้งหมดมาอัดฉีดพร้อมกันในช่วงเวลาสั้น ๆ
ทั้งงบฯลงทุนของภาครัฐ และการเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภค
พรรคเพื่อไทยนั้นคงมองว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้เหมือนเครื่องยนต์ที่ดับสนิท การแก้ปัญหาต้องใช้วิธีการเหมือนกับการเข็นรถยนต์ที่สตาร์ตไม่ติด
ถ้าเข็นกันทีละคน
ใครหมดแรงก็ให้คนต่อไปมาเข็นต่อ
ผลัดเปลี่ยนกันกี่คน รถก็สตาร์ตไม่ติด
แต่ถ้ารวมพลังของคนทั้งหมด มาเข็นรถอย่างเต็มแรงในช่วงเวลาสั้น ๆ
มีโอกาสที่รถจะสตาร์ตติด
ภาพฝันของพรรคเพื่อไทย คือ หากเศรษฐกิจไทยสตาร์ตติดเมื่อไร
การท่องเที่ยวหรือการลงทุนจากต่างประเทศที่ต้องใช้เวลาก็จะเป็นจรวดลูกที่สอง และสาม รับช่วงต่อไป
ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดจะเป็นจริงได้หรือไม่
แต่นี่คือ การเดิมพันครั้งสำคัญของ “เศรษฐา” และ “ทักษิณ”
เพราะถ้าพ้นจากไตรมาส 4 แล้วเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
พรรคเพื่อไทยก็นับถอยหลังได้เลย