ประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ ค้านชื่อ พิธา โหวตนายกฯซ้ำ

นายราเมศ รัตนะเชวง

ประชาธิปัตย์-รวมไทยสร้างชาติ ประสานเสียง ค้าน โหวต พิธา นั่ง นายกฯรอบสอง พรุ่งนี้ พรรคพีระพันธุ์ เตรียม 3 ขุนพล ลับฝีปาก

วันที่ 18 กรกฎาคม 2566 นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึง กรณีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งที่ 2 นี้ว่า ในส่วนของพรรคคงต้องรอมติพรรคว่าจะออกมาเช่นไร โดยหลักในส่วนของพรรคมีความชัดเจนว่าการดำเนินการดังกล่าวต้องยึดมติพรรคเป็นที่ตั้ง ซึ่งจะมีการประชุมในวันพรุ่งนี้

นายราเมศกล่าวว่า สำหรับในส่วนของการประชุมร่วมรัฐสภา เชื่อว่าจะมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง เพราะก่อนที่จะดำเนินการในการเลือกนายกรัฐมนตรี ประเด็นแรกที่ต้องมีการวินิจฉัยคือ การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีต่อที่ประชุมรัฐสภาถือว่าเป็นญัตติที่อยู่ภายใต้ความหมายของญัตติตามข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภาหรือไม่

นายราเมศกล่าวว่า ถ้าเป็นญัตติก็ต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับข้อที่ 41 ที่ญัตติใดที่ตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีก เว้นแต่ญัตตินั้นจะยังไม่ได้ลงมติ หรือญัตติที่ประธานรัฐสภาอนุญาต กรณีพิจารณาแล้วเห็นว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป

“ประเด็นนี้ก็เชื่อว่าจะมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ท้ายที่สุดเชื่อว่าหากหาข้อยุติไม่ได้ประธานรัฐสภาก็จะไม่วินิจฉัย แล้วให้ที่ประชุมร่วมได้พิจารณาเพื่อลงมติว่าจะให้ญัตติการเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี สามารถเสนอเป็นครั้งที่สองได้หรือไม่” นายราเมศกล่าว

นายราเมศกล่าวว่า ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าญัตติเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นญัตติตามความหมายของข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา เหตุผลที่จะมารองรับคือ การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ปรากฏอยู่ในหมวดที่ 2 ส่วนที่ 2 ว่าด้วยเรื่องการเสนอญัตติ ในข้อที่ 36 ที่ได้ระบุกรณีญัตติที่ไม่ต้องเสนอล่วงหน้าเป็นหนังสือให้ผู้รับรองญัตติแสดงการรับรอง

โดยวิธียกมือขึ้นพ้นศรีษะ เว้นแต่การรับรองเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามข้อ 136 แสดงให้เห็นว่าการเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถือได้ว่าเป็นญัตติตามความหมายของข้อบังคับเพราะได้กำหนดเรื่องการรับรองการเสนอชื่อบุคคลให้เป็นไปตามข้อ 136

นายราเมศกล่าวว่า เมื่อข้อเท็จจริงและข้อบังคับเห็นได้ว่าญัตติที่ได้เสนอนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ญัตตินั้นไม่ตกไปแล้วหากจะนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนอต่อที่ประชุมร่วมอีกไม่ได้และข้อเท็จจริงก็มีความชัดเจนว่าญัตติที่จะมีการเสนอนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ถือได้ว่ามีหลักการคือเสนอนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน กับญัตติที่เสนอนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา

“โดยความเห็นส่วนตัวเห็นว่าจะนำชื่อนายพิธาเสนอชื่อต่อรัฐสภาอีกไม่ได้เพราะถือว่าได้ตกไปแล้ว เว้นแต่จะมีการเสนอชื่อบุคคลอื่น ๆ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อมีการเสนอชื่อบุคคลอื่น ๆ ก็ถือได้ว่าสาระสำคัญและหลักการได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ย้ำว่าญัตติเสนอนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ว่าจะเสนอไม่ได้อีกต่อไป เมื่อมีการเสนอชื่อคนอื่นก็ถือว่าเป็นญัตติที่ไม่ได้มีหลักการเดียวกัน ในหลักการเรื่องการห้ามพิจารณาซ้ำ มีหลักการเช่นเดียวกันนี้ทั้งในกระบวนการพิจารณาคดีของอำนาจตุลาการ และของฝ่ายบริหารที่บังคับใช้กฎหมายเช่นเดียวกัน” นายราเมศกล่าว

นายราเมศกล่าวว่า แต่ท้ายที่สุดก็เป็นหน้าที่ของที่ประชุมร่วมรัฐสภา แต่หากมีการวินิจฉัยที่ผิดพลาดขึ้นมาแล้วมีผู้ไปร้องต่อ ป.ป.ช. ก็อาจจะเป็นประเด็นขึ้นมาได้ เนื่องจากการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ก็อยู่ภายใต้การตรวจสอบเช่นกันในเรื่องของการทำหน้าที่ รวมไปถึงจริยธรรม

ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีการประชุม ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อหารือเรื่องการลงมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 19 กรกฎาคม โดยมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม พร้อมด้วยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธานวิปพรรค โดยมี สมาชิกเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติแถลงภายหลังประชุม ส.ส.ของพรรคว่า พรรคได้มีการประชุมในประเด็นการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 19 กรกฎาคม โดยมติพรรคเห็นว่าในการเสนอญัตติเลือกนายกรัฐมนตรียังเป็นมติเดิมที่เคยมีการพิจารณาผ่านไปและตกไปแล้ว

การจะนำญัตติดังกล่าวมาเสนออีกครั้งพรรคเห็นว่า เป็นการกระทำผิดข้อบังคับการประชุมของรัฐสภาในข้อที่ 41 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ไม่สามารถนำกลับขึ้นมาพิจารณาได้ใหม่อีกครั้งในสมัยประชุมปัจจุบัน แม้จะมีข้อยกเว้นว่า จะสามารถกระทำได้หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป

นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์

นายอัครเดชกล่าวว่า ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าสถานการณ์จากสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ทั้งการยืนยันที่จะมีการนำเสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี หรือการที่พรรคก้าวไกลยังยืนยันที่จะเข้าไปแก้ไข ม.112 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร สถานการณ์ทุกอย่างยังคงเดิม ดังนั้นพรรคจึงเห็นว่าไม่สามารถนำญัตตินี้เข้ามาพิจารณาได้อีก และหากมีการนำเสนอญัตตินี้เข้ามาในสภา สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติจะขึ้นอภิปรายชี้แจงและขอเหตุผลจากประธานรัฐสภา ว่าเหตุใดจึงยกมตินี้ขึ้นมาพิจารณาซ้ำอีก

นายอัครเดชกล่าวว่า พรรคได้มอบหมายให้นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายเอกนัฐ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค และตนเป็นผู้อภิปรายในการประชุม หากประธานรัฐสภานำญัตติเสนอชื่อนายพิธากลับมาพิจารณาโหวตเลือกเป็นนายกฯอีกครั้งถือว่า ผิดระเบียบการประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการนำเสนอชื่อจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติจะดำเนินการอย่างไร นายอัครเดชกล่าวว่า พรรคยังคงยืนยันว่าหากยังคงมีพรรคที่มีนโยบายที่ต้องการแก้ ม.112 เป็นองค์ประกอบ พรรคก็จะไม่โหวตให้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเอาหางเป็นหัว หรือเอาหัวไปเป็นหาง ถ้าองค์ประกอบยังคงเป็นเหมือนเดิมพรรคก็จะไม่สนับสนุนอย่างแน่นอน และนี่เป็นความชัดเจนของพรรครวมไทยสร้างชาติมาโดยตลอด