เลื่อนแจกเงิน 10,000 หลัง เม.ย. 67 พิชัย ที่ปรึกษานายกฯ ยืนยัน

“พิชัย ชุณหวชิร” ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ยืนยัน แจกเงินเดือนกุมภาพันธ์ เป็นไปไม่ได้ เพราะงบประมาณไม่เสร็จ ชี้ ต้องหลังเมษายน ต้องใช้ให้ได้เดือนกันยายน

วันที่ 30 ตุลาคม 2566 ที่รัฐสภา นายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานเปิดเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ “นานาทัศนะกับนโยบายดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท : เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้ความท้าทายและพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศ” จัดโดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ร่วมกับคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา และคณะกรรมาธิการวิชาการของวุฒิสภา

นายศุภชัยกล่าวว่า นโยบายดิจิทัลวอลเลต เป็น 1 ในนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งแถลงต่อรัฐสภา มีเป้าหมายแจกเงินดิจิทัลให้ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยใช้ระบบบล็อกเชนเพื่อเอื้อต่อการจ่ายเงินรูปแบบใหม่ ภายใต้งบฯกว่า 500,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันมีหลายฝ่าย เช่น คณาจารย์ และนักวิชาการ ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก เนื่องจากมองว่าได้ประโยชน์น้อย ไม่คุ้มกับต้นทุน อีกทั้งยังสร้างบรรทัดฐานการจ่ายเงินระยะสั้น ไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง

ดังนั้น สว.ในฐานะสถาบันการเมืองที่มีความเป็นกลาง จึงเชิญทุกฝ่ายมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อระดมข้อเสนอจัดทำเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาส่งต่อไปยังรัฐบาลต่อไป

นายพิชัย ชุณหวชิร ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวในการเสวนาว่า โครงการนี้มีหลายอย่างที่ต้องปรับเปลี่ยน เช่น การให้สิทธิประชาชน 56 ล้านคน หลายฝ่ายเห็นว่าไม่ควรแจกคนรวย เพราะไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากคนรวยจะเอาเงินส่วนนี้ทดแทนค่าใช้จ่าย และเก็บเงินของตัวเองไว้แทน แต่ถ้าให้คนที่พอมี จะนำไปใช้หนี้

ดังนั้น ตัวเลขประชาชนที่ได้สิทธิจะเหลือ 40 กว่าล้านคน ซึ่งยังไม่รวมผู้ที่ไม่มาลงทะเบียนอีก จึงเชื่อว่าโครง การดังกล่าวจะใช้เงินจากงบประมาณ แต่คงไม่ถึง 500,000 ล้านบาท โดยผ่านการอนุมัติจากสภา ซึ่งงบฯดังกล่าวอาจล่าช้า ไม่น่าจะทันในเดือน ก.พ. 2567

“ผ่านระบบงบประมาณ ซึ่งรัฐสภาอนุมัติ ไม่มี hidden agenda ใด ๆ เผอิญ ระบบงบประมาณล่าช้า เสร็จประ มาณเมษายนเป็นอย่างเร็ว ที่ประกาศว่าเดือนกุมภาพันธ์เป็นไปไม่ได้ เพราะงบประมาณไม่เสร็จ ดังนั้นต้องหลังเมษายน 2567 และต้องใช้ให้ได้ภายในเดือนกันยายน 2567” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวว่า ขณะเดียวกันจะเร่งดำเนินการงบประมาณปี 2568 ไปด้วย เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและแล้วเสร็จในเวลาใกล้เคียงกัน ส่วนเงื่อนไขใช้เงินได้ในระยะรัศมี 4 กิโลเมตรนั้น คงไม่มีแล้ว แต่จะให้อยู่ในอำเภอหรือเขตเดียวกัน เพื่อให้เกิดการกระจายอย่างทั่วถึง

“วันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ทั้งข้างบน ข้างล่าง ตรงกลาง กรอบหมดแล้ว ไม่สามารถจะกู้เพิ่ม รายได้ก็ไม่มี ฉะนั้นโครงการนี้จึงจำเป็น ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่น ความคึกคัก แต่โครงการนี้ต้องควบคู่ไปกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และโครงการทางเศรษฐกิจที่ต้องทำให้มองเห็น ซึ่งเป็นโจทย์ยากที่รัฐบาลต้องทำให้สอดคล้องกันให้ได้” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวต่อว่า รัฐจำเป็นต้องแจกเงินเป็นเงินดิจิทัลเพื่อบังคับให้มีการใช้จ่าย ส่วนคนที่จะมาขึ้นเงินก็ต้องลงทะเบียนและเสียภาษีด้วย ทั้งนี้ การแจกเงินอาจได้ไม่พร้อมกัน และอาจได้ใช้เงินในช่วงที่มีวันหยุด เช่น ปีใหม่ หรือสงกรานต์ เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว และเชื่อว่า 90% น่าจะกลับไปใช้แอปพลิเคชั่นเป๋าตัง เนื่องจากการพัฒนาระบบขึ้นมาใหม่ต้องใช้เวลานาน และยุ่งยาก

นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมว.คลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจต้องกระตุ้นและแก้ไข แต่ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้ตอบโจทย์ เพราะต่อให้ใช้จ่ายในระดับหมู่บ้าน ก็เป็นไปได้ยากที่โครงการนี้จะยั่งยืน แต่สิ่งที่อยากเห็นคือนำเงินส่วนนี้ไปช่วยในกำลังผลิต เช่น แหล่งน้ำ เพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้ทุกหมู่บ้าน

ทั้งนี้ ที่ไปศึกษาเรื่องดังกล่าวจากการเดินทางไปต่างประเทศ เช่น ยูเอ็น ซึ่งเป็นเป้าหมายทั้ง 17 เป้าหมายของ Sustainable Development Goals (SDGs)

เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้แน่ใจว่าโลกจะดีขึ้น แต่กลับไม่นำเรื่องดังกล่าวมาขับเคลื่อนเลย นี่คือวิธีคิดวิธีทำงานที่ต้องเพิ่มศักยภาพลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ไม่ใช่หวังให้คนใช้จ่ายแล้วเศรษฐกิจจะขยายตัวได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งขณะนี้รัฐบาลกำลังจะทำผิดกฎหมายหลายอย่าง จึงขอให้ฟังสำนักงบประมาณ ไม่เช่นนั้นจะเกิดการขาดดุล และผิดวินัยการเงินการคลัง

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า ปัจจุบันมีแต่การถกเถียงเรื่องแหล่งเงิน แทนที่จะให้หน่วยงานราชการช่วยกันคิด แต่เชื่อว่าประชาชนน่าจะบริหารจัดการการใช้จ่ายภายในครอบครัวตัวเองได้

หากนโยบายอื่น ๆ ของรัฐบาล ทั้งเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยว เอื้อไปด้วยกัน จะทำให้ภาคประชาชนเกิดความมั่นใจ ว่าที่รัฐบาลทำเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาผู้ที่ออกมาวิจารณ์ก็ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องดังกล่าว