ชัยธวัช-เอกนัฏ พรรคหัวก้าวหน้า ปะทะ พรรคอนุรักษนิยมใหม่ ในปมเดือด ม.112

ขิง-ต๋อม

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี”

ถูกนำมาใช้ในทางการเมืองอย่างมากมาย ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันยาวนานนับทศวรรษ

นักเคลื่อนไหวหลายคนถูกคำพิพากษาจำคุก เพราะมาตรา 112

โยงถึงการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาล ก็มี “เงื่อนไข” ของมาตรา 112 ไปผสมโรง

ทั้งการแก้-ไม่แก้ มาตรา 112

ทั้งการนิรโทษกรรม-ไม่นิรโทษกรรมให้กับคดี 112

หลักฐานเชิงประจักษ์คือ การที่พรรคก้าวไกลไม่อาจไปไกลถึงแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เพราะมีนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ทุกพรรคการเมือง “ตั้งกำแพง”  โดดเดี่ยวก้าวไกล ทั้งที่ได้เสียงมากที่สุด 151 เสียง หลังเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566

ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก่อนเลือกตั้งมีธงแก้มาตรา 112 แต่เมื่อเป็นรัฐบาลกลับตัว 180 องศา เมื่อมาตราดังกล่าวกลายมาเป็นเงื่อนไขของการจัดตั้งรัฐบาล

ในปี 2567 ประเด็นมาตรา 112 ยังคงเป็นปมเดือดการเมืองที่ต้องจับตา โดยเฉพาะเรื่องการนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 หรือไม่

ต่อไปนี้คือการมองมาตรา 112 ผ่านเลนส์ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคหัวก้าวหน้า ที่ถูก “ฉายาว่าพรรคล้มเจ้า”

กับพรรคอนุรักษนิยมใหม่ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคที่มีโครงสร้างเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบัน และไม่แตะมาตรา 112 โดยเด็ดขาด

ปรารถนาดี-บริสุทธิ์ใจ ข้อหาล้มล้าง..ไปกันใหญ่

เริ่มต้นจากมุมพรรคการเมืองที่ถูกยกให้เป็น “พรรคหัวก้าวหน้า” ใน พ.ศ.นี้ อย่างพรรคก้าวไกลถูกแปะป้าย “พรรคล้มเจ้า” ชัยธวัชกล่าวว่า ฉายานี้พยายามถูกสร้างโดยอีกฝ่ายการเมืองหนึ่ง ที่คิดว่าอาศัยเรื่องนี้มาโจมตีหรือพรรคการเมืองคู่แข่งได้ หรือคิดว่าตัวเองได้ประโยชน์ หรือสวมเสื้อคลุมความจงรักภักดี

พรรคก้าวไกล เราพูดในสภาหลายครั้ง เราอยากเห็นการปรับปรุงพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ในสังคมสมัยใหม่ ภายใต้พลวัตสังคม สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เป็นโจทย์ให้ฝ่ายที่ตัวเองรู้สึกว่าจงรักภักดี เคารพรักสถาบัน ควรจะต้องคิดให้หนัก มีสติ และใช้ปัญญา ข้อเสนอเรานำไปสู่ตรงนั้น

แต่ต้องยอมรับว่า มีหลายคน หลายฝ่าย ที่พยายามหาประโยชน์หรือสวมเสื้อความจงรักภักดี แม้กระทั่งข้อเสนอนิรโทษกรรมทางการเมือง ก็ออกมาพูดว่าต้องคัดค้าน ยอมรับไม่ได้ กับการนิรโทษกรรมคดี 112 บอกว่าการนิรโทษกรรม ม.112 เป็นการไม่จงรักภักดี เป็นการล้มล้างการปกครอง ซึ่งไปกันใหญ่

ผมคิดว่าเราพยายามจะเตือน สังคมไทยต้องตั้งสติให้ดี และใช้ปัญญาให้มาก  ว่าเราจะรักษาสถาบันให้คู่กับสังคมประชาธิปไตยที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาได้อย่างไร เป็นโจทย์ของคนที่คิดบริสุทธิ์ใจและปรารถนาดีจริง ๆ

ผมคิดว่าวันนี้ที่คนที่ออกมาโจมตี กล่าวหาว่าคนนั้นคนนี้ไม่จงรักภักดี ล้มเจ้า  คนที่พูดแบบนี้ปกป้องตัวเองไม่ให้ถูกโจมตีทางการเมือง ปกป้องตนเองเพราะการแสดงบทบาทแบบนี้จะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ตัวเองมีอำนาจทางการเมืองในปัจจุบันหรืออนาคต บางคนอาจได้ผลประโยชน์ คิดถึงการเติบโตหน้าที่การงานของตัวเองในอนาคต บางคนอาจได้ผลประโยชน์ในทางธุรกิจ คนที่สวมเสื้อคลุมแบบนี้กลายเป็นนักต้มตุ๋นในภายหลัง หรือหาคอนเน็กชั่นเครือข่าย จากงบประมาณของรัฐ สุดท้ายหนีคดีไปก็หลายคน

และคนที่คิดปกป้องสถาบันจริง ๆ โดยบริสุทธิ์ใจ ต้องตระหนักว่าการเที่ยวเอาข้อหาความไม่จงรักภักดีไปแปะป้ายคนอื่น เป็นเงื่อนไขสำคัญมาก ๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง และดึงสถาบันเข้ามาอยู่ความขัดแย้งทางการเมือง จนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่หลายคนไม่สบายใจ นำไปสู่การฟ้องร้องกล่าวหาเรื่องมาตรา 112

สุดท้ายพวกคุณกำลังปกป้องตัวเองและแสวงหาประโยชน์จากคำว่าจงรักภักดี  จากคำว่าปกป้องสถาบัน และทุกครั้งที่ทำแบบนี้ ถ้าได้ประโยชน์คนที่พูดได้ แต่ถ้าเสียต้นทุนที่ต้องจ่ายไม่ใช่ตนเองแต่เป็นสถาบัน

เช่นการใช้สถาบันมาหาเสียงให้กับพรรคการเมือง โจมตีพรรคอื่นจากการเลือกตั้ง บางพรรคไม่ได้ สส.แม้แต่เก้าอี้เดียว บางพรรคได้ สส.น้อยลงอย่างน่าใจหาย ใครรับผิดชอบกับเรื่องแบบนี้ มีแต่คนเอากำไร จากการสวมเสื้อจงรักภักดี แต่ผลักต้นทุนไปให้สถาบัน

ม.112 ชนวนขัดแย้งใหม่ ในมุม รทสช.

ขณะที่ “เอกณัฏ พร้อมพันธุ์” สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ วัย 37 ปี พรรคที่นิยามตัวตนของตัวเองว่าเป็น “อนุรักษนิยมใหม่” มองว่า จะต้องไม่แตะมาตรา 112 เป็นเป้าหมายของพรรคที่ร่วมรัฐบาล

เนื่องจากปรากฏการณ์ทางการเมืองมันเปลี่ยนไป ผมอยู่ในการเมืองมา 15 ปีไม่เคยมีการนำเสนอแนวทางการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ในสภาผู้แทนราษฎร

พูดกันตรง ๆ อย่างพรรคก้าวไกล เขาก็ยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของ 112 ไม่งั้นป่านนี้คุณพิธา (ลิ้มเจริญรัตน์) ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ท่านก็ได้บริหารประเทศ นโยบายอีกกว่าร้อยนโยบายที่นำเสนอมาก็จะได้ทำ มันก็เป็นเหตุว่า…ทำไมจะต้องมีการจับมือกับพรรคเพื่อไทย

สำหรับฝั่งรวมไทยสร้างชาติ นอกจากเรื่องสลายความขัดแย้งแล้ว ก็เป็นเรื่องของหลักประกันว่าจะไม่มีการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112

และเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญที่จะไม่ไปแตะหมวด 1 หมวด 2 รวมไปถึงในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ อันนี้เป็นเงื่อนไขที่เราเสนอใช้ในการรวมกันจัดตั้งรัฐบาล

เพราะเรื่องภัยในส่วนของความพยายามที่จะแก้มาตรา 112 ก่อนหน้านี้มันไม่จริงขนาดนี้ ไม่สามารถเห็นได้ชัด แต่ในช่วงการเลือกตั้งในการรณรงค์การหาเสียงนะครับ จนไปถึงหลังเลือกตั้ง มันชัดมาก มันเป็นจริงมากในเรื่องความพยายามที่จะไปแก้ หรือยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112

ปกป้องเสาหลัก ไม่ใช่เรื่องงมงาย

ในส่วนของผมเอง ไม่ใช่เรื่องความงมงายนะครับ แต่ว่าการพัฒนาประเทศมันต้องไปแบบมั่นคง เราจะอ้างการเปลี่ยนแปลงมาทำลายเสาหลักของประเทศไม่ได้ มากระทบกับความมั่นคงของประเทศไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเราปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ดี ที่เป็นประโยชน์กับประเทศ แต่เราต้องไม่ทำร้าย ทำลายสิ่งที่ดีอยู่แล้ว นั่นคือจุดยืนที่ดีของเรา

ก็ต้องไม่ทำให้มีความพยายามแก้มาตรา 112 แฟนคลับฝั่งเรายังไม่เข้าใจ ไม่อยากให้เราไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่ในมุมผู้บริหารพรรคเรามี สส. 36 คน เราคิดว่าจะใช้ 36 นี้เป็นหลักประกันไม่ให้ประเทศเดินไปสู่ความขัดแย้งระลอกใหม่ ด้วยการไปแก้หรือพยายามแก้มาตรา 112 นั่นคือสิ่งที่เราพยายามทำ และถึงวันนี้เรายังทำได้อยู่ และยืนยันจะทำแบบนี้อยู่

เรื่อง 112 ในภาพใหญ่ ผมเองก็มีส่วนในความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตมาเหมือนกัน แต่วันนี้รอยแยกทางการเมืองมันเปลี่ยนจากเรื่องของเผด็จการประชาธิปไตย กลายมาเป็นเรื่อง 112 ถ้าเราไม่จัดการกับปัญหานี้ให้ดีก็จะเป็นชนวนที่นำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต ซึ่งไม่อยากให้เกิดขึ้น

วันนี้ผมว่าประเทศไทยมันอยู่ในจังหวะที่จะต้องไปเก็บเกี่ยวโอกาสใหม่ ๆ ที่มันเกิดขึ้นจากความขัดแย้งของแต่ละประเทศในโลกด้วยซ้ำ ไม่ใช่มาขัดแย้ง แต่จะทำได้เนี่ย เราเองก็ต้องรักต้องสามัคคีกันเอง ไม่ใช่มาทะเลาะกันเองนะครับด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

112 ผมมองว่า ถ้าเกิดขึ้นมันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เราเองก็พยายามที่จะระงับยับยั้งไม่ให้มันเกิดความขัดแย้งแบบนี้

ถ้าพรรคไหนในรัฐบาลอยู่ดี ๆ เปลี่ยนใจ บอกเฮ้ยจะเสนอแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ถอนตัวสิครับ ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะนี่เป็นหลักการที่เราจับมือกันไว้ก่อนที่จะแถลงร่วมรัฐบาล แต่ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเขาไม่ทำ

มีข่าวนะบอกว่าปีหน้าเปลี่ยนใจไหม ผมว่าไม่หรอกครับ ไม่มีหรอกเท่าที่คุยกันก็ขอให้ชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ

เรื่องราวการเมืองในหลายมิติ หลายเฉดที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ยังเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องในปี 2567