เพื่อไทย ถก ฮุน เซน พัฒนาการค้าชายแดน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 5 แสนล้าน

แพทองธาร

“ฮุน เซน” แนะเพื่อไทย พรรคการเมืองจะประสบความสำเร็จได้ ต้องทำงานเพื่อประโยชน์ประชาชน หนุนนโยบายเที่ยวแบบไร้รอยต่อ เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 2 ประเทศกว่า 5 แสนล้าน

วันที่ 19 มีนาคม 2567 นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว เลขาธิการพรรคเพื่อไทย สรุปหลังการหารือทวิภาคีเต็มคณะร่วมกับ อัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานพรรค และคณะพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) เย็นวานนี้ 18 มีนาคม 2567 ว่า

1.ฯพณฯ ฮุน เซน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้คำแนะนำถึงการทำพรรคการเมือง และการทำประโยชน์เพื่อประชาชน รวมถึงเปิดโอกาสและพัฒนาศักภาพคนรุ่นใหม่ร่วมกันของทั้ง 2 พรรคการเมือง ซึ่ง ฯพณฯ ฮุน เซน ยกตัวอย่างให้เห็นถึงคณะรัฐมนตรีปัจจุบันที่มีสัดส่วนของคนรุ่นใหม่มากขึ้น

นอกจากนี้ ฯพณฯ ฮุน เซน ยังเน้นการทำงานด้านการสร้างเครือข่ายสมาชิกพรรคการเมือง เพราะเชื่อว่าประชาชนจะเป็นรากฐานสำคัญในการทำงานทางความคิดของพรรค โดยกล่าวว่าปัจจุบันพรรคประชาชนกัมพูชามีสมาชิกกว่า 7.2 ล้านคน หรือเกือบครึ่งประเทศ

2.ฯพณฯ ฮุน เซน ยังได้รับทราบและเห็นด้วยในหลักการถึงการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลไทยที่นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ริเริ่มโครงการ “6 Countries 1 Destination” ในเวที ASEAN Summit และเสนอให้นำร่องการเข้าประเทศกลุ่มอาเซียนด้วยวีซ่าเดียวระหว่างไทย-กัมพูชา ก่อนอีกด้วย

นโยบายนี้จะช่วยสนับสนุน “การท่องเที่ยวแบบเชื่อมต่อกัน” (Seemless Tourism) อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ที่เน้นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเป็นการต่อยอดการสร้างมูลค่าการท่องเที่ยวระหว่างกันอีกด้วย

3.พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้มีการจัดตั้งทีมทำงานระดับพรรคการเมืองต่อพรรคการเมือง เพื่อให้ สส. ในแต่ละจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่ติดกับแนวชายแดน หารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาการค้าชายแดนที่มีแนวเขตชายแดนไทย-กัมพูชาติดกันถึง 7 จังหวัด

ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยเป็นสนามรบ ที่ยังคงมีกับระเบิดสมัยสงครามหลงเหลืออยู่ เป็นสนามการค้า เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้ามูลค่าการค้าระหว่างไทย-กัมพูชา 525,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2568

ซึ่งการหารือถึงความร่วมมือที่จะพัฒนาศักยภาพ สส. ของทั้ง 2 พรรคการเมืองนี้ มีโจทย์หลักคือการทำงานเพื่อประโยชน์ประชาชน ให้นำไปสู่การสร้างสันติภาพและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน