“อุตตม” โอด ทุกพรรครุมกระทืบ “สุพล-อนุชา” สาวไส้ไทยรักไทย-เชิดชู “บิ๊กตู่” ปฏิวัติ กอบกู้บนซากปรักหักพัง

ตลอดทั้งวันวันนี้ (2 มี.ค.)พรรคพลังประชารัฐ นำโดยนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค นายอนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาตร์การเลือกตั้งภาคกลาง นายสุพล ฟองงาม แกนนำจังหวัดอุบลราชธานี และ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี หรือ มาดามเดียร์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ขึ้นปราศรัยกับประชาชนใน จ.อุบลราชธานีและ จ.อำนาจเจริญ รวม 4 เวที ซึ่งแต่ละเวที มีประชาชนร่วมฟังกว่า 10,000 คน

นายอุตตม ปราศรัยว่า พรรคพลังประชารัฐมาจากหลายสาย ทั้งคนรุ่นเดิมที่มากประสบการณ์และคนรุ่นใหม่ ซึ่งมารวมตัวกัน เพราะเห็นว่าประเทศต้องมีคนอาสาเข้ามามาทำงาน เนื่องจากที่ผ่านมาบ้านเมืองขาดความสงบสุข ประชาชนขัดแย้ง ดังนั้นวันนี้ของเดิมต้องทิ้งไว้ที่เดิม และเรามาร่วมกันเดินหน้า สร้างอนาคตให้คนไทยด้วยกัน อนาคตที่อยู่บนพื้นฐานในการทำให้ประชาชน สามารถทำมาหากิน ลูกหลานมีความหวังว่าจะมีงานทำ วันนี้พรรคมีกระแสแรงไม่ต้องกลัวใคร พรรคอื่นจึงกระทืบเราทุกวัน แสดงว่าเรามีพลังเขาถึงมาแตะเรา ทั้งนี้เราต้องเรียนรู้อดีตไม่ให้ผิดพลาดเหมือนเดิม และมาร่วมกันสร้างอนาคต ร่วมกันสร้างรากฐานประเทศ เกษตรกรต้องมีความสุขก่อน พรรคจึงนำเสนอนโยบาย เพื่อสร้างอนาคตใหม่ สร้างความหวังให้เกษตรกรและคนไทย อย่างนโยบายข้าวได้ราคา ชาวนาได้เงินเพิ่ม ให้ราคาข้าวเหมาะสมกับราคาในกลไกตลาด เพิ่มค่าเก็บเกี่ยวจาก 1,200 บาท เป็น 2,000 บาท จำนวน 20 ไร่ ประชาชนที่มีภาระเรื่องหนี้สิน จากการกู้เงินในกองทุนหมูบ้านต้องจ่ายดอกเบี้ย ทำให้ต้องไปกู้เงินนอกระบบมาจ่าย พรรคพลังประชารัฐเห็นว่า คงปล่อยต่อไปไม่ได้ จึงเสนอพักหนี้กองทุนหมูบ้านให้ 3 ปี แล้วให้กู้ใหม่พร้อมวิธีการสร้างรายได้เสริมไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ยังมีนโยบาย บัตรประชารัฐ ที่จะสานต่อจากรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งหากพรรคได้เป็นรัฐบาลจะเพิ่มบัตรให้กับประชาชนที่ตกหล่น อีก 2-3 ล้านคน นอกจากเพิ่มจำนวนแล้ว ยังมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้วย เพื่อให้ครอบคลุมคนแต่ละกลุ่ม โดยจะเริ่มตั้งแต่ผู้สูงวัย ให้มีการดูแลสุขภาพ ด้วยแนวคิด”หมอถึงบ้าน พยาบาลถึงเรือน” พร้อมดูแลผู้พิการ ให้เกิดการสร้างงาน สร้างโอกาส

นายอุตตม ย้ำว่า ไม่ได้มาขายฝัน และไม่ได้มาขายของที่มีปัญหา รวมถึงตนเองไม่กินแมงโม้ ทั้งนี้ เน้นย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ เป็นบุคคลที่เหมาะสม เพราะประชาชนต้องการก้าวข้ามความขัดแย้ง และพล.อ.ประยุทธ์ ก็มีความตั้งใจทำงาน

นายสุพล ปราศรัยว่า ก่อนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้ามาบริหาร เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งการปิดถนน เผาบ้านเผาเมือง ล้มการประชุมอาเซียน ยึดสนามบิน เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างประชาชนสองฝ่าย นำไปสู่การบาดเจ็บล้มตาย วนเวียนเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ตนอยู่ในบ้านหลังนั้นเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง จึงตัดสินใจ ออกมาเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า ก้าวข้ามความขัดแย้ง บ้านเมืองต้องสงบ และปรองดอง วันนี้สำนึกผิดที่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย จึงขอโทษพี่น้องประชาชนด้วย และขอชี้แจงว่าอย่าไปหลงวาทกรรมที่ใช้โจมตีพรรพลังประชารัฐ โจมตีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อย่าไปโทษคนปฏิวัติ แต่ต้องโทษคนสร้างปัญหาจนนำมาสู่การปฏิวัติ ถ้าเสื้อเเหลือง เสื้อแดง ไม่ตีกัน พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้สืบทอดอำนาจ เพราะขณะนี้อำนาจอยู่ในมือพี่น้องประชาชนในการกำหนดอนาคตประเทศ จะเลือกใครก็เป็นสิทธิ แต่หากเลือกพรรคเดิม บ้านเมืองก็จะเป็นแบบเดิม ดังนั้นขอให้มาช่วยกันนำพาประเทศออกจากความขัดแย้ง

นายอนุชา ปราศรัยว่า ตนเคยเป็น ส.ส.ของพรรคไทยรักไทย และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจากกรณียุบพรรค จนกระทั่งวันหนึ่งตัดสินใจก้าวเดินออกมาสังกัดพรรคเล็ก เพราะบ้านเมืองกำลังจะลุกเป็นไฟ จากคนที่ต้องการอำนาจ ด้วยการนำความรักความศรัทธาของประชาชนไปต่อสู้บนถนน เกิดการเข่นฆ่า พี่น้องคนไทยบาดเจ็บล้มตาย ความขัดแย้งกินระยะเวลานานกว่า 10 ปี จนกระทั่งวันนี้วันที่เห็นแสงสว่างจากความสงบสุข ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้ามาแก้ปัญหา เข้ามากอบกู้หลายสิ่งหลายอย่างบนซากปรักหักพัง กอบกู้เศรษฐกิจที่พังเสียหายจากความขัดแย้งจนประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากนั้นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ยังได้มาร่วมกับคนทุกกลุ่มจัดตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อเป็นทางเลือก เป็นแสงสว่าง ในการนำพาบ้านเมืองพ้นจากความขัดแย้ง ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ชาวไรชาวนาลืมตาอ้าปาก เพราะประชาชนคือสิ่งสำคัญสำหรับพรรคพลังประชารัฐ

ด้าน น.ส.วทันยา กล่าวปราศรัยว่า วันนี้พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายดีๆมาฝากพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะผู้หญิง อย่างนโยบาย”มารดาประชารัฐ” เพราะเด็กไทยคืออนาคตของชาติ ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญ และดูแลตั้งแต่อยู่ในท้อง โดยช่วยค่าฝากครรภ์เดือนละ 3,000 บาท รวม 9 เดือน เป็นเงิน 27,000 บาท นอกจากนี้ยังช่วยค่าคลอด 10,000 บาท ค่าเลี้ยงดูจนถึงอายุ 6 ปี เดือนละ 2,000 บาท รวมทั้งหมด 181,000 บาท ซึ่งยืนยันว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลโครงการนี้จะทำได้จริง ทำได้ทันที ดังนั้นวันที่ 24 มี.ค.ขอให้พี่น้องชาวอุบลราชธานี เลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐทุกพื้นที่