ประยุทธ์ 2 ปักหมุดทีมมั่นคง-การเมือง คุมพลังประชารัฐ-ควบองครักษ์ ส.ว.

รายงานพิเศษ

คล้อยหลังเสียงซักฟอกนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 หมาก 3 ป.+1 ส.ขยับควบด้านการเมือง-กองทัพ คืบอำนาจต่อไปอีก 4 ปี…เป็นอย่างน้อย

ป.ประยุทธ์-ป.ประวิตร และ ป.ป๊อก-อนุพงษ์ กับอีก 1 ส.สมคิด กระชับอำนาจนักการเมืองระดับชาติ-ท้องถิ่น และนักการทหาร เคลื่อนเศรษฐกิจ 3 ทีม 3 พรรค

บิ๊กป้อม คุม ยุทธศาสตร์ พปชร.

ป.ประวิตร-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เหาะเหินเดินอากาศรุกทางการเมืองสยบกลุ่ม-ก๊วนปิดท้ายสัมมนาเสริมศักยภาพ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ณ 88 การ์มองเต้ รีสอร์ท วังน้ำเขียว นครราชสีมา ด้วยการกรอกใบสมัครสมาชิกพรรค

“ครอบครัวพลังประชารัฐเป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งเป็นการรวมพลังของภาคประชาชนกับภาครัฐเข้าด้วยกัน ถือเป็นการรวมพลังเพื่อนำพาประเทศชาติให้ก้าวข้ามความขัดแย้ง สร้างความมั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน พร้อมร่วมกันรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนตลอดไป”

“พล.อ.ประวิตร” เปิดหน้า-เปิดตัวเป็น “ผู้สนับสนุนพรรค” เป็นครั้งแรกหลังจากถีบ-ถอย ไม่รู้-ไม่เห็น การจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารและการสวมบท”ผู้จัดการรัฐบาล” จัดโควตาเก้าอี้รัฐมนตรี

Advertisment

เป็นการส่งสัญญาณทางการเมือง-เกี่ยวดองกับพลังประชารัฐทั้งในทาง “นิตินัย” ในฐานะสมาชิกพรรค และขึ้นเป็น “ประธานยุทธศาสตร์” ทันทีหลังเสร็จศึกแถลงนโยบาย ในเดือนสิงหาคม

บิ๊กตู่ควบ “ประธานที่ปรึกษา”

Advertisment

ป.ประยุทธ์-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังการแถลงนโยบายจะเดินทางเข้ากระทรวงกลาโหมในฐานะ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ครั้งแรกในวันที่ 30 ก.ค. กุมทั้งทัพบก-ทัพเรือ-ทัพอากาศ และ “รับไม้ต่อ” จากพี่ใหญ่-พล.อ.ประวิตร หลังจาก “พล.อ.ประยุทธ์” ไม่มีอำนาจ คสช.-รัฏฐาธิปัตย์ ตามมาตรา 44

ขยับขาอีกข้างหนึ่งของ “พล.อ.ประยุทธ์” เกี่ยวอยู่ในตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษาพรรค”

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีข่าวแพร่สะพัดว่า “พล.อ.ประยุทธ์” จะสวมหมวก “หัวหน้าพรรค” อีกใบหนึ่ง โดยมี “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” มานั่งในตำแหน่งเลขาธิการพรรค ท่ามกลางศึกใน-ศึกสามก๊ก เพื่อช่วงชิงเก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรคพลังประชารัฐ

“เสธ.บนตึกไทยคู่ฟ้า” ระบุว่า “ข้อกำจัด” ทางกฎหมายอาจจะเป็น “กับดัก” ทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ-กฎหมายพรรคการเมือง อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ “ขยับตัวยาก” แผนคุมหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจึงต้องพับไป

บิ๊กป๊อก คุมเกมเลือกตั้งท้องถิ่น

ป.ป๊อก-“บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ถึงแม้จะยังไม่คิดลงเล่นการเมืองเต็มตัว แต่กลับมานั่ง “เจ้ากระทรวงคลองหลอด” อีกสมัย เพื่อ “คุมเกม” สนามเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น-ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

เมื่อการเลือกตั้งท้องถิ่นเที่ยวนี้ พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ที่มาแรง-ตามน้ำจากการเลือกตั้งสนามใหญ่ จนขี่กระแสคนรุ่นใหม่ เกณฑ์ ส.ส.เข้าสภาได้กว่า 80 ที่นั่ง

ทำให้ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวขบวนพรรคสีส้ม หมายมั่นปั้นมือที่จะแจ้งเกิด-ปลุกกระแสคลื่นลูกใหม่ จารึกบนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่น ในสนามเลือกตั้งระดับชาติอีกครั้ง

ยังไม่นับพรรคภูมิใจไทย ที่หวังปักหมุดการเมืองท้องถิ่นให้แผ่ไปทั่วอีสานและภาคใต้ เป็นฐานการเมืองสนามใหญ่ในวันข้างหน้า จนครั้งหนึ่งในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยต้องหยิบแผนการขยายตัวการเมืองท้องถิ่นของภูมิใจไทย-อนาคตใหม่มาพูดในที่ประชุมพรรค และที่สุดเพื่อไทยจึงเริ่มปักหมุดท้องถิ่น และเพิ่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา

เมื่อพรรคการเมืองเก่า-ใหม่รุกพื้นที่เลือกตั้งท้องถิ่น “บิ๊กป๊อก” ต้องยึดกุมกำลังส่วนกลาง-ส่วนภูมิภาค ทั้งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 76 จังหวัด ที่มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล อยู่ในสังกัดทั่วประเทศ และกรมการปกครองลงรากลึกไปถึงอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ผ่านกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน

เพราะในช่วง 5 ปีที่ “พล.อ.อนุพงษ์” สวมบท มท.1 ออกระเบียบ-กฎกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับท้องถิ่นหลายฉบับ แทบจะทำให้กลไกท้องถิ่นกระชับอำนาจให้อยู่ใต้ปีกมหาดไทย ขึ้นตรงปลัดกระทรวง-รัฐมนตรี ทั้งที่ผู้บริหารท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องที่

ยิ่งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2562 กรมการปกครอง ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด วงเงิน 31,228,936,100 บาท ขณะที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้รับการจัดสรรงบประมาณ วงเงิน 1,360,539,100 บาท

สมคิดกุนซือคู่ใจ 2 สมัย

ส.สมคิด-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แม้บทบาทของ “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ลดทอนลงไป เนื่องจากเปลี่ยนจากรัฐบาล-คสช. เป็นรัฐบาลผสม 19 พรรค 3 ทีมเศรษฐกิจ

แต่การเสนอตั้ง “คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ” ของนายสมคิดต่อ “พล.อ.ประยุทธ์” ทำให้นายสมคิดกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในฐานะกุนซือเศรษฐกิจข้างกาย พล.อ.ประยุทธ์

นอกจากการเดินหมาก 3 ป.+1 ส. เพื่อล่อง “รัฐเรือเหล็ก” ให้ถึงฝั่ง-อยู่ครบ 4 ปีแล้ว ยังมีฝ่ายเสนาธิการบนตึกไทยคู่ฟ้ากว่า 10 คน เป็น “ทีมงานมันสมอง” ผ่องถ่ายอำนาจสู่ “ทีมงานส่วนตัว” เดินเครื่องรุกทางการเมืองทั้งใต้ดิน-บนดิน ภาคพื้นการเมืองรอบตัว “พล.อ.ประยุทธ์” เป็น “ลมใต้ปีก” ทั้งในกองทัพ-ทำเนียบรัฐบาล-พลังประชารัฐ และสภาการเมือง

โดยมี “ดิสทัต โหตระกิตย์” อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา-มือกฎหมายอีกคน เสริมทัพ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม ขยับจากที่ปรึกษา พล.อ.ประยุทธ์ เป็น เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ทำงานร่วมกับทีมงานส่วนตัว-ทีมโฆษกรัฐบาลเดิมของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่มี “เสธ.โหน่ง” พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค ที่จะย้ายออกจากตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็น “หัวหน้าชุด” และทีมงาน อาทิ “หม่อมกวาง” พล.ท.ม.ล.กุลชาต ดิศกุลฯ ที่ปรึกษาสำนักโฆษก “พล.ต.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ” และ “ลิซ่า” พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่สแตนด์บายรอเข้าประจำการทำเนียบอีกครั้ง

ทีมตึกไทย-ส.ว.ลากตั้ง ลมใต้ปีก

ขณะที่ทีมงาน “คู่หู-รู้ใจ” พล.อ.ประยุทธ์บางส่วนในศูนย์ “PMOC” โอนถ่ายไปสู่สถานภาพสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน แต่ยังคงสถานะเป็น “องครักษ์พิทักษ์บิ๊กตู่” ในสภาล่าง อาทิ พล.อ.สกล ชื่นตระกูล พล.อ.จีระศักดิ์ ชมประสพ รวมถึง “อดีตรัฐมนตรี-สมาชิก คสช.” อาทิ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย

โดยมี “พรเพชร วิชิตชลชัย” ประธาน ส.ว. และ “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา ส.ว. “ซี้ปึ้ก” พล.อ.ประวิตร เป็นคนรับสัญญาณพิเศษ-คนคุมจังหวะสภาสูง

รวมถึงกำลังเสริม-กองหนุนจาก “ทีมโทรโข่งรัฐบาล” ที่คอย “ปะ-ฉะ-ดะ” 7 พรรคการเมืองฝ่ายค้าน โดยมี “อาจารย์แหม่ม” ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ คอยแถลงไข “นโยบายประชารัฐ”

ทั้ง “บัตรคนจน” และ “มารดาประชารัฐ” เพราะ “ว่าที่โฆษกรัฐบาล” คร่ำหวอดในการจัดทำนโยบายประชารัฐ ตั้งแต่สมัยอยู่ที่กระทรวงการคลังกับ “อุตตม-ขุนคลังคนใหม่” และ “อภิศักดิ์-อดีตขุนคลัง”

โดยมี “หน่วยกล้าตาย” นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพลังประชารัฐ เป็น “รองโฆษกรัฐบาล” จอม “ปะ-ฉะ-ดะ” กับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน “ตอบโต้” ใน “ประเด็นการเมือง”

แท็กทีมกับอีก “2 รองโฆษกรัฐบาล” จาก “2 พรรคร่วมรัฐบาล” คือ พรรคประชาธิปัตย์ และ “พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ” แห่งพรรคภูมิใจไทย

สืบทอด 5 ปี รัฐบาล คสช. อยู่ต่ออีก 4 ปีเป็นอย่างน้อย