“แรงงานก่อสร้าง” อึ้ง

คอลัมน์ ดาต้าเบส

นโยบายหาเสียงจากพรรคการเมือง 2 ขั้วแกนนำ ไม่ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ล้วนมีความเหมือนอยู่ตรงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จาก 320 บาท เพิ่มเป็น 400-425 บาท

กล่าวสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอาคาร บริษัทมหาชนในตลาด “พรีบิลท์” ระบุว่า มีแรงงานก่อสร้างในมือ 4,000 คน ส่วนใหญ่ 80% เป็นแรงงานต่างด้าวที่ได้รับประโยชน์ 100% จากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลไทย โดยไม่จำเป็นต้องมีฝีมือ นั่นหมายความว่า ค่าแรงขั้นต่ำกลายเป็นค่าตัวของ “แรงงานไร้ฝีมือ” หรือกรรมกรแบกหาม

ในขณะที่แรงงานก่อสร้างคนไทยมีจำนวนน้อยกว่า เหตุผลเพราะคนไทยเลือกงาน ถ้าเข้าสู่อาชีพแรงงานมักเลือกสมัครใจไปทำเป็นแรงงานภาคอุตสาหกรรมมากกว่า เข้างาน-เลิกงานเป็นเวลา มีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะกว่า

ผลกระทบทางอ้อมทำให้ “แรงงานฝีมือ” มีค่าตัวเพิ่มกว่าค่าแรงขั้นต่ำ อาทิ ช่างฉาบปูน ช่างปูกระเบื้อง ช่างสี ช่างไฟฟ้า ว่ากันที่ตัวเลข 400-700 บาทขึ้นไป

เจาะไซต์ธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งบริษัทเปิดไซต์ก่อสร้างบ้านบนที่ดินลูกค้า ทำทีละหลัง ยกตัวอย่าง “มาสเตอร์แปลน 101” เป็นกลุ่มสร้างบ้านแพงหลังละ 20-200 ล้านบาท

โดยธุรกิจรับสร้างบ้านไม่แตกต่างจากรับเหมา ที่ต้องพึ่งการใช้แรงงานก่อสร้างแบบเข้มข้น มี 3 กรุ๊ปปิ้งงานด้วยกัน 1.งานโครงสร้างคอนกรีต 2.งานก่ออิฐ ฉาบปูน ปูกระเบื้อง 3.งานฟินิชชิ่ง กว่าจะเสร็จสมบูรณ์เป็นบ้าน 1 หลัง

ทุกวันนี้ค่าแรงขั้นต่ำ 320 บาท แต่ราคาค่าจ้างกรรมกรหรือจับกังจ่ายจริง 330-350 บาท ในขณะที่แรงงานฝีมือขึ้นไปอยู่ที่ 500-800 บาท/วัน

ในขณะที่ฟากดีเวลอปเปอร์ระบุว่า นโยบายหาเสียงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400 บาท หรือขึ้นทีเดียว 30% ถือเป็นนโยบายปุ๊บปั๊บ คงตั้งรับไม่ทัน นั่นหมายถึงผลกระทบอยู่ในระดับรุนแรง

แนวทางที่ควรจะเป็น อยากให้รัฐบาลทำแบบค่อยเป็นค่อยไป การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำควรตั้งอยู่บนดัชนีค่าครองชีพ+อัตราเงินเฟ้อ+ค่าทักษะฝีมือ แนวทางนี้ทำให้ธุรกิจก็อยู่ได้ แรงงานก็มีรายได้เพิ่ม โดยการขึ้นค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 5-10%

ไม่ว่าจะปรับขึ้นหนักหรือเบาแค่ไหน สุดท้ายผู้บริโภคปลายทางก็ต้องแบกรับภาระทั้งหมด เพราะค่าแรงถูกบวกเข้าไปในราคาสินค้าโดยอัตโนมัติ