MQDC เท 25 ล้านสร้างป่าสร้างชีวิต หนุน 1,000 ครอบครัว เพาะต้นกล้า 1.2 ล้านต้น

The Forestias by MQDC ทุ่ม 25 ล้านเปิดโครงการ ‘Forest for Life สร้างป่าสร้างชีวิต’ มอบเงินช่วยผู้ประสบปัญหาโควิด 1,000 ครอบครัวครอบครัวละ 15,000 บาทเพื่อให้ช่วยดูแลกล้าไม้ 1.2 ล้านต้นในระยะเวลา3เดือน โดยมีกรมป่าไม้ให้ความรู้และเชื่อมโยงเครือข่ายชุมชนเพาะกล้า

นายคีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า โครงการ The Forestias by MQDC เล็งเห็นผลกระทบสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในขณะที่ MQDC มีแนวคิดสร้างเมืองคู่ป่า จึงเกิดไอเดียบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับชุมชนโดยใช้การสร้างป่าเข้ามาเป็นหัวใจหลักในการช่วยเหลือ

จึงได้จัดโครงการ ‘Forest for Life สร้างป่าสร้างชีวิต’ นำกล้าไม้ไปให้ครอบครัวที่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายนำไปดูแลอนุบาลให้เติบโตขึ้น เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยมีเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท/ครอบครัว แบ่งจ่ายเป็น 3 งวด รวมครอบครัวละ 15,000 บาท

จากนั้นกล้าไม้จะถูกนำไปแจกจ่ายให้กับหน่วยงานราชการ เช่น กองสาธารณะ กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างเสริมพื้นที่สีเขียวหรือนำไปร่วมโครงการแจกกล้าไม้คนเมือง บางส่วนนำมาใช้กับโครงการของ The Forestias แจกจ่ายประชาชนทั่วไป หรือมอบให้กับชุมชนที่รับต้นกล้าไปดูแลที่้ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน

โครงการมีเป้าหมายช่วยเหลือ 1,000 ครอบครัวซึ่งอยู่ในชุมชนที่สมัครเข้าโครงการ แบ่ง 2 เฟส เฟสแรกกล้าไม้ 6 แสนต้น จำนวน 500 ครอบครัว เฟสสอง กล้าไม้ 6 แสนต้น อีก 500 ครอบครัว ใช้งบประมาณ 25 ล้านบาท

“เราเชื่อมั่นว่า เราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการจุดประกายความคิดเรื่องการสร้างพื้นที่สีเขียว และความผูกพันระหว่างคนกับต้นไม้ และสร้างความแข็งแกร่งและความผูกพันให้ชุมชน” นายคีรินทร์กล่าว

นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการ The Forestias by MQDC กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดโครงการ Forest For Life สร้างป่า สร้างชีวิตในครั้งนี้นับเป็นโอกาสดีที่จะได้ขยายแนวคิดในการสร้างพื้นที่สีเขียวออกไปสู่สาธารณะมากขึ้น ต้นไม้จากโครงการนี้บางส่วน จะนำมาปลูกต่อไปในป่าของโครงการ The Forestias by MQDC ที่บางนากิโลเมตรที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นป่าที่แท้จริงใจกลางเมือง

“เราหวังว่า โครงการนี้จะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และอยากให้ทุกคนในชุมชนได้ร่วมกันส่งต่อขยายผลให้งอกเงย ออกไปในวงกว้างให้มากที่สุด เพราะหากชุมชนมองเห็นโอกาสจากการสร้างป่า สร้างชีวิตแล้ว แน่นอน ว่าผลดีย่อมตกกับชุมชน หากชุมชนช่วยเหลือตัวเองได้ มีรายได้เพียงพอไม่เดือดร้อน สังคมจะมีความสุข จะส่งผลดีต่อประเทศชาติในที่สุด” นายกิตติพันธุ์กล่าว

ดร.วิทย์ สุนทรนันท์ รองประธานมูลนิธิพุทธรักษา กล่าวว่า The Forestias มีความร่วมมือกับมูลนิธิพุทธรักษาและเครือข่ายผู้ให้ The Givers Network ในการสรรหาและคัดเลือกชุมชนเข้าร่วมโครงการ

เนื่องจากข้อจำกัดด้านการขนส่งกล้าไม้จึงจำกัดพื้นที่ภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้

1. การสมัครเข้ามาเป็นชุมชน ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ-ปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง

2. ชุมชนมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 20 ครัวเรือน พิจารณาจากชุมชนที่เดือดร้อนจากสถานการณ์โรคระบาดโควิดที่สุดก่อน และไม่มีสมาชิกในครัวเรือนที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการรัฐบาลแล้ว เพื่อเป็นการแบ่งเบาบรรเทาทุกข์ให้ทั่วถึง

3. ครัวเรือนที่สมัครต้องมีพื้นที่วางกล้าไม้อย่างน้อย 20 ตารางเมตร หรือชุมชนจัดหาพื้นที่ส่วนกลาง เช่น วัด โรงเรียน ก็สามารถทำได้ โดยทางโครงการจะช่วยเหลือค่าน้ำตามสมควรให้กับที่สาธารณะในโครงการนี้

4. แต่ละครัวเรือนรับกล้าไม้ไปดูแล 1,200 ต้น โดย 1,000 ต้นเป็นกล้าไม้กลุ่มป่าไม้ ไม้พุ่ม ไม้มีค่าต่างๆ อีก 200 ต้นเป็นกลุ่มพืชสวนครัว

ตัวอย่างข้อมูลที่เราพบจากชุมชนวัดทุ่งเหียง ตำบลหมอนนาง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี พบว่า บางครอบครัวประสบปัญหาขาดรายได้ทั้งครอบครัว เพราะสมาชิก 4-5 คนตกงานทุกคนทำให้ไม่มีเงินเลี้ยงชีพ การเข้ามาร่วมโครงการนี้จึงช่วยทำให้ชุมชนมีรายได้พอเลี้ยงชีพในช่วงเวลา 3 เดือน

ทั้งนี้ มี 26 ครัวเรือนเข้าร่วมโครงการช่วงแรก และมีชุมชนที่แจ้งความจำนงคือชุมชนบ้านอำเภอ คาดว่ามีผู้เข้าร่วม 120 ครัวเรือน นอกจากนี้ยังเตรียมขยายไปยังชุมชนอื่นๆ ในกรุงเทพ-ปริมณฑล โดยประสานกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ดำเนินการจัดหาชุมชน และกลุ่มคนไร้บ้านเพื่อเข้าร่วมโครงการอีกด้วย

สำหรับกล้าไม้แบ่งเป็นพันธุ์ไม้ประเภทไม้ป่าไม่พุ่มไม้มีค่า อาทิ ไม้สัก มะค่าโมง ประดู่ป่า ตะเทียนทอง มะฮอกกานี ชิงชัน แคนา พะยูง และพืชสวนครัวที่ดูแลง่าย มีศัตรูพืชน้อย สามารถนำมาบริโภคในครัวเรือนช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และหากมีเหลือพอชุมชนสามารถนำไปจำหน่ายเพิ่มรายได้อีกทาง

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวตอนท้ายว่า กรมป่าไม้ให้การสนับสนุนโครงการนี้เพราะมีวัตถุประสงค์ที่ตรงกับแนวทางของกรมโดยเฉพาะเรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ป่าไม้ โดยให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลกล้าไม้มาช่วยแนะนำวิธีการดูแล

ในปัจจุบันการเพาะกล้าไม้ได้กลายเป็นหนึ่งอาชีพที่ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงกล้าไม้สร้างรายได้ จากการที่ผู้ที่ปลูกไม้มีค่าในพื้นที่ของตนเองสามารถปลูกและตัดขายได้ภายใต้ พรบ. ป่าไม้ ปี 2562 ทำให้กล้าไม้โดยเฉพาะไม้มีค่าพวก ไม้สัก ไม้ยาง ไม้พะยูง ได้รับความนิยมมากขึ้น

พระครูศรวิชัย มหาวีโร รองเจ้าอาวาสวัดทุ่งเหียง ตัวแทนชุมชนวัดทุ่งเหียง กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณทุกหน่วยงานที่เปิดโอกาสให้ชุมชน ได้เข้าร่วมโครงการนี้ เพราะช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนด้านปากท้องของชุมชนในเบื้องต้น