รู้เพื่อตั้งรับ! 5 รูปแบบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม

ท่ามกลางปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนของการระบาดของโควิด 19 ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไว้อย่างน่าสนใจ มาดูกันว่ามีความเป็นไปได้ในลักษณะใดบ้าง

#COVID19 #การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ #bangkokbank #bangkokbanksme #sme

ท่ามกลางการระบาดของโควิด 19 เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างไร? ใช้เวลานานหรือไม่ในการฟื้นตัว? และจะฟื้นตัวในรูปแบบไหน? สิ้นปีนี้จะหดตัวไปเท่าไหร่?
คำถามเหล่านี้คงไม่ได้เป็นปัญหาคาใจของนักเศรษฐศาสตร์การเงินให้ต้องปวดหัว ในการออกมาคิดคำนวณนำเสนอ ทำข่าวเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะสัมพันธ์กับการเงิน การลงทุน การจ้างงาน และรายได้ในภาคครัวเรือน หรือจีดีพีของประเทศด้วย จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 กระหน่ำเศรษฐกิจทั่วโลกให้มีการหดตัวลง ซึ่งการหดตัวลงนั้นหมายถึงรายได้ที่จะลดลงไปด้วย อ้างตามหลักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ที่ระบุว่าหากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพีหดตัวลงในระยะ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ถือว่าประเทศนั้นๆ กำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme

โดยเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงซบเซาจนเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ไปแล้ว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกติดลบ 1.8% เป็นการติดลบครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 57 เป็นผลจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อบริโภคภาคเอกชน การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุนภาครัฐและเอกชนปรับตัวลดลง ขณะที่การส่งออกมีมูลค่า 60,867 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 1.5% ซึ่งเป็นการกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส ตามการขยายตัวของการส่งออกทองคำ และกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลประโยชน์จากสงครามการค้าในช่วงก่อนหน้าและการระบาดของโควิด 19

ทั้งนี้การที่ภาครัฐทยอยคลายล็อกให้กิจกรรมเศรษฐกิจกลับมาเปิดดำเนินการได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 63 เป็นเครื่องชี้วัดได้ว่าเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาวะหดตัว จากกำลังซื้อที่อ่อนแอของครัวเรือนและภาคธุรกิจ ส่งผลต่อบรรยากาศการใช้จ่ายภายในประเทศ ขณะเดียวกันการส่งออกและการท่องเที่ยวยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย และสถานการณ์โควิดในต่างประเทศที่ยังไม่ยุติ ทิศทางดังกล่าวคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2563 หดตัวลงลึกสู่ตัวเลขสองหลัก

นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มเศรษฐกิจยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง จากการระบาดของไวรัสโควิด 19 ในหลายประเทศที่ยังรุนแรง ซึ่งจะทำให้การเปิดพรมแดนระหว่างประเทศของไทยอาจเกิดขึ้นอย่างจำกัด ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ในขณะที่แรงฉุดจากเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และประเทศอื่นๆ ตลอดจนค่าเงินบาทที่แข็งค่า อาจยังกดดันการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหมวดสินค้าไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

ด้านมาตรการเยียวยาผลกระทบจากโควิดควบคู่กับแรงขับเคลื่อนจากกลไกภาครัฐ ผ่านการอนุมัติแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมวงเงิน 4 แสนล้านบาท ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม จะเข้ามาช่วยประคองให้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีทยอยฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด อย่างไรก็ตามการกลับสู่ภาวะปกติก่อนโควิดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจคงต้องใช้เวลา และจำเป็นต้องอาศัยการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องจับตาดูกันต่อไปว่าประเทศไทยจะฟื้นตัว ไปในทิศทางใด และจะเป็นไปตามทีทิศทางที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้หรือไม่

โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ฟื้นตัวเร็วอย่างก้าวกระโดด เศรษฐกิจจะทยอยฟื้นตัวกลับมาอาจจะใช้เวลาถึงปลายปี 2564 หรือใช้เวลาเกือบ 2 ปี เศรษฐกิจถึงกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ในลักษณะเครื่องหมายถูกหางยาว หรือที่รู้จักกันในชื่อ Swoosh-shaped บ้างก็เรียกกันว่า Nike-shaped ซึ่งเป็น 1 ใน 5 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีการคาดการณ์ไว้ ดังนี้

1. แบบ V-Shape (วี เชป) หรือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ “รูปตัววี” เป็นการลงเร็ว ฟื้นเร็ว ในอดีตการฟื้นตัวส่วนใหญ่เป็นรูปตัววีพร้อมกับกิจกรรมที่กลับสู่ระดับก่อนเกิดภาวะถดถอย ในเวลาเดียวกันหรือน้อยลงตามระยะเวลาของการตกต่ำ แต่การหยุดชะงักอย่างกะทันหันของกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย เมื่อเปิดตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระหว่างช่วงพักฟื้น โดยเศรษฐกิจได้รับผลกระทบรุนแรงไถลลงลึก อยู่ที่ก้นเหวช่วงสั้นๆ แล้วค่อยๆ ฟื้นตัว แบบตกแรงดีดแรง

2. แบบ Nike-shaped, Swoosh, Tick or Italicized V Shape (ไนกี้ เชป) หรือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ “รูปเครื่องหมายไนกี้” เป็นการไถลลงเร็วและค่อยๆ ฟื้นตัว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนี้จะมีลักษณะคล้ายกับเครื่องหมายถูกหางยาว คือเป็น V-shaped เป็นการไถลลงเร็วค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงแรก และค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในช่วงท้าย และเศรษฐกิจจะเติบโตช้าในระยะยาว หรือมีการไถลลงเร็วแต่จะค่อยๆ ฟื้นตัว คล้ายกับ V Shape ที่เป็นกรณีพื้นฐาน (base case)

3. แบบ U-Shape (ยู เชป) หรือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ “รูปตัวยู” มีการหดตัวนาน ฟื้นตัวช้า คล้ายกับรูปแบบที่สองแต่ต่างกันตรงที่ระยะเวลาของผลกระทบที่อาจนานกว่า ทำให้ใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า ใช้เวลานานหลายปี เนื่องจากการค้าระหว่างประเทศและภาคการท่องเที่ยวจะยังไม่กลับมาฟื้นตัวได้ภายในปีนี้ จากการเกิดการชะงักงันด้านอุปทาน เนื่องจากกำลังซื้อหายไป

4. แบบ W-Shape การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ “ดับเบิล ดิป” เป็นการฟื้นเร็วและดิ่งลงรอบสอง จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในขณะนี้มีโอกาสที่สัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวและกลับเข้าสู่ภาวะถดถอย จากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสในคลื่นลูกที่สอง

5. แบบ L-Shape การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ “รูปตัวแอล” เป็นการหดตัวยาวนาน ไร้สัญญาณการฟื้นตัว ลักษณะเศรษฐกิจในรูปแบบนี้ถือเป็นเคสที่สาหัสสุด ซึ่งหมายถึงการดิ่งลงอย่างฉับพลัน ทุกอย่างหยุดชะงัก ในขณะที่เส้นกราฟจะยังคงเดินต่อไปในแนวนอนต่อเนื่องไปอีกหลายปี จนกว่าจะแน่ใจว่าการปิดตัวของเศรษฐกิจโลกจะจบลงและกลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง เป็นกรณีเลวร้ายสุด ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้

แหล่งอ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/
https://www.bot.or.th/


สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<

________________________________________
Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333