ศุภาลัย สร้างดี ชวนพันธมิตรปลูกป่านครราชสีมา

ศุภาลัย

“บมจ.ศุภาลัย” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกรมป่าไม้ ร่วมมอบพื้นที่สีเขียวให้กับชาวบ้านชุมชนบ้านโคกพลวง อ.จักราช จ.นครราชสีมา พร้อมกับชวนผู้บริหาร, ซัพพลายเออร์, สื่อมวลชน และพนักงาน ร่วมปลูกต้นไม้นานาพันธุ์ 2,000 ต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าจำนวน 10 ไร่ ในโครงการ “ศุภพนาลัย by Care the Wild” ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ 25% ภายใน 3 ปี

“ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาผ่านมา บริษัทดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อความรับผิดชอบและให้ความสำคัญต่อสังคมในทุกด้าน (CSR) ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจ แต่ต่อจากนี้กิจกรรมทั้งหมดจะอยู่ภายใต้ชื่อโครงการ “ศุภาลัย สร้างดี” เพราะนอกจากการสร้างบ้านที่ดีให้กับลูกค้ามาตลอด

ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม
ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม

บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าหากมีความตั้งใจที่ดี สามารถขับเคลื่อน และสร้างคุณค่าต่าง ๆ ให้เกิดในสังคมอย่างมากมาย อาทิ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับโลก สร้างการศึกษาที่ดีให้กับเยาวชน จนก่อให้เกิดการสร้างสังคมที่ดีแก่ประเทศชาติ รวมไปถึงการเป็นบรรษัทภิบาลที่ดี โดยการดำเนินธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ และมีความรับผิดชอบต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับที่บริษัทยึดมั่นและปฏิบัติตลอดมา

ปัจจุบันวิกฤตด้านพลังงาน และสภาพอากาศที่โลกกำลังเผชิญส่งผลกระทบต่อทุกชีวิต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จนทำให้เกิดวิกฤตภาวะโลกร้อนอันเป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องรวมพลังเพื่อร่วมกันลดภาวะก๊าซเรือนกระจก ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CO2 ให้ได้มากที่สุด

ซึ่งในปี 2565 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนฟุตพรินต์ 25% ภายใน 3 ปี และตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกับการดำเนินธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยมาโดยตลอด

โดยจังหวัดนครราชสีมาที่บริษัทเข้ามาพัฒนาธุรกิจมานานกว่า 8 ปี การเดินหน้าโครงการ “ศุภพนาลัย by Care The Wide” จึงเป็นความร่วมมือกับพันธมิตร คือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกรมป่าไม้ เพื่อพลิกฟื้นผืนป่าชุมชน ณ บ้านโคกพลวง อ.จักราช จ.นครราชสีมา ให้มีความสมบูรณ์ ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้นทาง ซึ่งสอดรับกับแนวคิดหลักของการทำธุรกิจ

บริษัทจึงชักชวนผู้บริหาร พนักงาน พันธมิตรกลุ่มบริษัทคู่ค้า ทั้งกลุ่มบริษัท ธรรมสรณ์ จำกัด, เอสซีจี, บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด, สื่อมวลชน รวมทั้งชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ให้ได้ผืนป่า โดยมีชาวบ้านชุมชนบ้านโคกพลวงเป็นกำลังสำคัญในการรักษาป่าให้อยู่รอด และเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนได้ 100%

อีกทั้งชาวบ้านยังสามารถใช้ป่าชุมชนนี้เป็นแหล่งทำมาหากิน เพราะจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทั้งไม้ยืนต้น และไม้กินได้ อาทิ สัก, ปีบ, พะยูง, ยางนา, ประดู่, มะม่วง ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การรักษาระบบนิเวศ และพัฒนาชุมชนให้อยู่อย่างยั่งยืนต่อเนื่องหลายสิบปี

“อำนวย จิรมหาโภคา” ผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า ปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยคนคนเดียว ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วน ซึ่งบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯมานาน มีผลประกอบการที่ดี มีฐานะการเงินที่มั่นคงแข็งแรง ทั้งยังมีการบริหารจัดการที่คำนึงถึงธรรมาภิบาล และการเติบโตอย่างยั่งยืน หรือ ESG อย่างต่อเนื่อง

“ศุภาลัยมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือต่อสังคมมาโดยตลอด ซึ่งการปลูกป่าครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันสร้างคุณค่าและประโยชน์ให้กับพื้นที่ป่าของชาวบ้านในชุมชนโคกพลวงต่อไป”

“นันทนา บุณยานันต์” ผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้ กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณโครงการ Care The Wild ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มในการระดมทุนจากภาคธุรกิจให้มาปลูกป้องป่า เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย

และขอบคุณ บมจ.ศุภาลัย ที่เข้ามาสนับสนุนการปลูกต้นไม้ป่าชุมชนครั้งนี้ รวมถึงยังให้ความเชื่อมั่น และเล็งเห็นความสำคัญของกรมป่าไม้ที่จะเข้ามาประสานงานเชื่อมโยงชุมชนเพื่อเข้ามาปลูกต้นไม้ให้เป็นป่าในพื้นที่ชุมชนครั้งนี้

“ทั้งนี้เพราะชุมชนบ้านโคกพลวงเป็นชุมชนคนรักป่า ทั้งยังมีจิตสำนึกในการหวงแหนป่าที่จะร่วมดูแลรักษาป่าชุมชน ที่สำคัญ ชุมชนแห่งนี้จะปกป้อง และดูแลรักษาต้นไม้ให้เติบใหญ่ไปอีก 10 ปี ซึ่งในอนาคตป่าแห่งนี้จะเอื้อประโยชน์ให้กับคนในชุมชน

เป็นคลังอาหาร ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้ สร้างเศรษฐกิจชุมชน เชื่อมโยง BCG โมเดล โดยป่าแห่งนี้จะทำหน้าที่รักษาสมดุลของระบบนิเวศ เพื่อส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ให้เป็นมรดกทางธรรมชาติให้กับลูกหลานไทยสืบต่อไป”

“ชาตรี เพชรนอก” ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 และประธานคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านโคกพลวง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้บริเวณพื้นที่ชุมชนโคกพลวงมีการบุกรุกป่ามากว่า 10 ปี จนเมื่อปี 2552 ชาวบ้านโคกพลวงมีการต่อสู้ทวงคืนผืนป่ากลับคืนมาจากนายทุน จากนั้นจึงร่วมกันเริ่มต้นปลูกป่าด้วยฝีมือมนุษย์ พร้อมช่วยกันดูแลจนเกิดพื้นที่สีเขียวมากขึ้นในพื้นที่

“โดยการเข้ามาช่วยเหลือจากภาครัฐ และเอกชนครั้งนี้จะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการมุ่งมั่นสร้างพื้นที่ป่าอย่างยั่งยืนให้กับชาวบ้านโคกพลวงต่อไป”

นับว่าน่าสนใจทีเดียว