หมอจุฬาฯ เผยงานวิจัย ดื่มเบียร์มี-ไม่มีแอลกอฮอล์ บำรุงสุขภาพหรือไม่

เบียร์

นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เผยงานวิจัยต่างประเทศ ดื่มเบียร์มีแอลกอฮอล์-ไม่มีแอลกอฮอล์ บำรุงสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี เหตุมีจุลินทรีย์ชนิดที่เป็นตัวดีหรือมีประโยชน์ ส่วนคนที่มีโรคประจำตัว งานวิจัยชี้น่าจะเหมาะกับเบียร์ไร้แอลกอฮอล์มากกว่า

วันที่ 8 สิงหาคม 2566 นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha เกี่ยวกับงานวิจัยในต่างประเทศ เรื่องการดื่มเบียร์ โดยจั่วหัวเรื่องไว้น่าสนใจว่า

“เบียร์มีหรือไม่มีแอลกอฮอล์ กลับบำรุงสุขภาพ..”

นพ.ธีระวัฒน์ระบุว่า ข่าวล่ามาแรงในรายงานในปี 2022 นี้เอง จนกระทั่งมีคำอุปมาว่า เบียร์วันละแก้วอาจช่วยไม่ให้ต้องพึ่งหมอ เหมือนกับที่เราเคยได้ยินได้ฟังว่า กินแอปเปิลวันละลูก หมอไปไกล ๆ ได้เลย

ทั้งนี้ เป็นรายงานจากคณะผู้วิจัยจากประเทศโปรตุเกส ตีพิมพ์ในวารสาร Agriculture and food chemistry โดยเป็นการศึกษาวิจัยที่รัดกุมและมีตัววัด หรือประเมินโดยการวิเคราะห์จุลินทรีย์หรือแบคทีเรียในลำไส้ว่ามีความหลากหลายเพิ่มขึ้นหรือไม่

จุดประสงค์ใหญ่ของการศึกษาชุดนี้ น่าที่จะเป็นการประนีประนอมกันหรือไม่ กับกระแสการต่อต้านการดื่มแอลกอฮอล์ที่เริ่มออกมาว่าไม่ควรจะดื่มเลยแม้แต่จะน้อยนิดก็ตาม

และในอีกประเด็นหนึ่งเพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ตามตำนานความเชื่อที่ว่าเบียร์นั้นดีต่อสุขภาพ ช่วยระบบต่าง ๆ จิปาถะ จริงไหม และถ้าเบียร์ที่ว่าดีนั้น เกิดดีจริง การที่มีแอลกอฮอล์เข้าไปอยู่ด้วยจะไปเจือจางความดีจนหายไปและกลายเป็นโทษอย่างเดียว

ตามปกติ ในคำแนะนำของสหรัฐในปี 2020 ถึง 2025 Dietary Guidelines for Americans จะมีระดับของแอลกอฮอล์ที่สามารถบริโภคได้คือ วันละหนึ่งแก้ว หรือหนึ่งดริงก์ นั่นก็คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 14 กรัมสำหรับผู้หญิง สำหรับผู้ชายนั้นสามารถขึ้นได้ โดยถึงสองดริงก์ต่อวันหรือเทียบเท่ากับ 28 กรัม โดยคิดง่าย ๆ ก็คือ ผู้ชายเท่ากับสองกระป๋อง กระป๋อง 1 เท่ากับ 330 ซีซี ในขนาดแอลกอฮอล์คือ 4% (ผู้หญิงก็เป็นหนึ่งกระป๋องไป)

แต่ถ้าจะสั่งเป็นแก้ว เช่น หนึ่งไพต์ (pint) ปริมาณจะเยอะหน่อยในระบบอเมริกัน จะเท่ากับ 473 ซีซี ระบบอังกฤษเท่ากับ 568 ซีซี (ดังนั้น ดูด้วยเวลาที่มีลดราคา เวลาแฮปปี้ happy hour เป็นไพต์ระบบไหน)

สำหรับหลักฐานทางประโยชน์ของเบียร์ หรือแอลกอฮอล์มีอยู่หลายชิ้นพอสมควรที่จะไปเพิ่มระดับของไขมันดีและลดระดับของไขมันเสีย มีการลดเลือดหนืดผ่านทางเกล็ดเลือด และบรรเทาการดื้ออินซูลิน

แต่กระนั้นก็ตามประโยชน์ที่อาจจะพึงมีต่อเส้นเลือดในร่างกาย รวมกระทั่งถึงหัวใจ และเบาหวาน จะถูกบดบังกับการที่ดื่มเบียร์แล้วอ้วนลงพุง ขี้เกียจ ไม่ออกกำลัง ร่วมกับกินอาหารหรือกับแกล้ม ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และยังมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง

ที่คณะผู้วิจัยพรรณนาไว้ก็คือ ในเบียร์นั้นมีโพลีฟีนอลจากฮอปมาก ซึ่งในการเพาะบ่มเบียร์นั้น การที่ใส่ฮอปไปเพื่อกลิ่น รส และความขม และก็ยังมีพรีนิลฟลาโวนอยด์ที่ชื่อ แซงโธฮิวมอล (xanthohumol)

โดยการศึกษาระดับพริคลินิก คือศึกษาในสัตว์ทดลองไม่ใช่คน ได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจโดยสารดังกล่าว น่าที่จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่เกี่ยวพันกับสารอนุมูลอิสระ และก่อให้เกิดโรคเรื้อรังทั้งโรคอ้วนและเบาหวาน และในระหว่างกระบวนการเพาะบ่มเบียร์ แซงโธฮิวมอลจะมีการปรับโครงสร้างกลายเป็นไอโซแซงโธฮิวมอล ซึ่งมีฤทธิ์ในทางเป็นประโยชน์เช่นกัน

ส่วนประกอบโพลีฟีนอลในเบียร์ เมื่อตกถึงลำไส้จะมีผลในการปรับสภาพของจุลินทรีย์ทั้งปริมาณ ชนิด และความหลากหลาย ถึงจนกระทั่งมีเบียร์หลายยี่ห้อ มีส่วนประกอบเป็นจุลินทรีย์ดีเจือปนเข้าไปด้วย

โครงการศึกษาจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่ง โดยมีประชากรศึกษาเป็นจำนวน มาก ได้แก่ Flemish Gut Flora Project แสดงให้เห็นว่าการดื่มเบียร์ในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงจะส่งผลในการปรับสภาพจุลินทรีย์ในลำไส้ให้เป็นตัวดี

เพราะฉะนั้นการมีหรือไม่มีแอลกอฮอล์จะส่งผลต่างกันหรือไม่ โดยคณะผู้วิจัยแบ่งผู้ร่วมการศึกษาเป็นสองกลุ่ม โดยมีอายุระหว่าง 18 ถึง 65 ปี และไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระบบกระเพาะและทางเดินอาหาร รวมกระทั่งถึงโรคลำไส้หงุดหงิด และไม่มีโรคหัวใจขาดเลือด เบาหวาน เส้นเลือดตีบที่ขา ไม่มีโรคติดเชื้อเอชไอวี หรือไวรัสตับอักเสบ และไม่เคยใช้ยาปฏิชีวนะในช่วงระยะเวลาสี่อาทิตย์ก่อนหน้า และไม่ใช้ยาระบายในช่วงสองอาทิตย์ก่อนหน้า และไม่ใช่เป็นคนติดเหล้า ติดยา หรือสารเสพติดอย่างอื่น

การวิจัยลงทะเบียนใน clinical trials NCT 03513432

ตลอดช่วงเวลาของการวิจัย การออกกำลังและสภาพการทำงานจะอยู่ในระดับเดิม รวมกระทั่งถึงชนิดและปริมาณของอาหารการกิน อาสาสมัครจะไม่ทราบว่าดื่มเบียร์มี (5.2%) หรือไม่มีแอลกอฮอล์ (0%) โดยเบียร์ที่ใช้เป็นลาเกอร์เบียร์ (lager beer) โดยที่ทราบปริมาณของไอโซแซงโธฮิวมอล และแซงโธฮิวมอล ด้วยการตรวจ HPLC–DAD หลังจาก SPE extraction

ทั้งก่อนและหลัง การศึกษาที่กินเวลา 4 อาทิตย์ จะมีการเก็บอุจจาระ และวิเคราะห์เลือดอย่างละเอียด (serum cardiometabolic markers) และส่วนประกอบของร่างกาย ด้วยเครื่อง In Body และบันทึกผล ลักษณะชนิดประเภทของอาหารการกินด้วย food frequency questionnaire

การวิเคราะห์ชนิดและความหลากหลายของจุลินทรีย์ด้วยการเตรียม DNA libraries (V3 และ V4 regions) จนถึงการวิเคราะห์มาตรฐานตามแบบที่เราใช้กัน

นอกจากการที่ดูความหลากหลายของจุลินทรีย์แล้ว ยังประเมินดัชนีของการอักเสบในลำไส้และมีการรั่วของเยื่อบุผนังลำไส้หรือไม่ โดยการหา fecal alka line phosphatase activity

ผลของการศึกษาในอาสาสมัครกลุ่มละ 11 คน ที่ติดตามเป็นระยะเวลาสี่อาทิตย์ พบว่าทั้งสองกลุ่มมีการเพิ่มของจุลินทรีย์ชนิดที่เป็นตัวดีหรือมีประโยชน์มากกว่า 20 ชนิด และไม่พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในน้ำหนัก ปริมาณ และการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย รวมกระทั่งถึงดัชนีชี้วัด สภาพคาร์ดิโอเมตาบอลิกในเลือด
ผลของการศึกษานี้

แตกต่างจากรายงานในวารสารแอลกอฮอล์ในปี 2020 ทำที่อริโซนา สหรัฐ โดยได้ศึกษาทั้งชายและหญิงที่อยู่ในเม็กซิโก อายุระหว่าง 21 ถึง 53 ปี โดยให้ดื่มเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์วันละ 12 ออนซ์ (1 ออนซ์ ประมาณ 30 ซีซี) กับเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณ 4.9% เป็นเวลา 30 วัน โดยที่เห็นความดีงามในเฉพาะกลุ่มที่ดื่มเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยที่มีการเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์

ทั้งนี้ การศึกษาในปี 2020 ไม่ได้จำเพาะเจาะจง โดยอาสาสมัครไม่ได้มีสุขภาพสมบูรณ์ทุกคน ซึ่งอาจอธิบายความแตกต่างของผลการศึกษาทั้งสองชิ้นนี้ได้

บทสรุป การดื่มเบียร์ให้ได้ประโยชน์นั้น สำหรับคนที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ได้มีโรคประจำตัว น่าที่จะดื่มได้ทั้งชนิดไม่มีหรือมีแอลกอฮอล์

และที่น่าสนใจก็คือ เบียร์ลาเกอร์อาจจะดีกว่า โดยที่มีคุณสมบัติทำให้เยื่อบุผนังลำไส้มีความแข็งแรงขึ้น

แต่ข้อจำกัดที่คนดื่มเบียร์ทุกคนทราบก็คือ เบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์ดูรสชาติประหลาด และหัวหน้าทีมผู้วิจัยให้สัมภาษณ์ว่า รสชาติ “a bit weird” (รสชาติแปลก-พิลึก)

สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ทางเมตาบอลิก อ้วนลงพุง เบาหวาน ความดันสูง ไขมันผิดปกติ โรคทางเส้นเลือด ท่าทางน่าจะอยู่กับเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ดีกว่า ทั้งนี้ โดยถือผลของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่จะส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบในลำไส้ ทะลุไปเข้าเลือดกระจายไปทั่วร่างกาย แม้กระทั่งกระทบสมอง

ดังนั้น ถ้าอยากจะดื่มอย่างมีความสุข ก็ปรับสุขภาพให้เป็นปกติเร็วที่สุด จะได้รับอานิสงส์จากการดื่มเบียร์แอลกอฮอล์ ได้ซะที ว่าแล้วก็เชียร์สสสส ครับ

โพสต์หมอธีระวัฒน์ แพทย์จุฬาฯ