ไขข้อสงสัย ยาพาราเซตามอล กินเท่าไหนถึงปลอดภัย ?

ยา ยาแก้ปวด พาราเซตามอล
Photo by Bermix Studio on Unsplash

ไขข้อข้องใจ การรับประทานยาแก้ปวด ตัวยาพาราเซตามอล กินเท่าไหนถึงจะปลอดภัย ไม่อันตรายต่อสุขภาพ

วันที่ 18 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บนโลกออนไลน์ มีการแชร์ข้อมูลหนึ่งที่ระบุว่า การรับประทานยาแก้ปวด ตัวยาพาราเซตามอล ครั้งละ 2 เม็ด จะทำให้กระทบกับสุขภาพ โดยเฉพาะทำให้การทำงานของตับมีปัญหา ทำให้ตับพังไม่รู้ตัว และทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การรับประทานยาพาราเซตามอล ครั้งละ 2 เม็ดนั้น ทำให้เกิดอันตรายต่อระบบในร่างกายจริงหรือไม่

ล่าสุด ศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุข้อเท็จจริงว่า “ยาพาราเซตามอล เป็นยาสำหรับบรรเทาปวดจากสาเหตุต่าง ๆ ในระดับปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดหัว ปวดข้อเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ และใช้เป็นยาลดไข้ แต่จะไม่พอสำหรับการปวดขั้นรุนแรง เช่น แผลผ่าตัดใหญ่ หรือมะเร็ง

โดยมากที่มีจำหน่ายกัน จะมี 2 ขนาด คือ ขนาด 325 มิลลิกรัม และขนาด 500 มิลลิกรัม ซึ่งต้องกินตามน้ำหนักตัว และการกินยาแต่ละครั้ง ควรกินห่างกันอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง และใช้เฉพาะเมื่อมีอาการ เช่น ปวดหรือมีไข้ เท่านั้น

ทีนี้ ตามปกติสำหรับผู้ป่วยทั่วไป คือ ผู้ที่มีภาวะตับและไตเป็นปกตินั้น จริง ๆ แล้วทางการแพทย์ระบุว่า ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถรับประทานยานี้ได้ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และใน 1 วัน ไม่ควรกินเกิน 4 พันมิลลิกรัม โดยไม่รับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน

และถ้าทานแล้วไข้ไม่ลดภายใน 3 วัน หรืออาการปวดในเด็กไม่บรรเทาภายใน 5 วัน หรือในผู้ใหญ่ไม่บรรเทาภายใน 10 วัน ควรไปพบแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นอาการของโรคที่ร้ายแรงได้”

ศ.ดร.เจษฎา ยังระบุวิธีการคำนวณจำนวนเม็ดของยาพาราเซตามอลที่เหมาะสมตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วยไว้ ดังนี้

ยาพาราเซตามอล ขนาด 325 มิลลิกรัม

  • น้ำหนัก 45-67 กิโลกรัม กิน 2 เม็ด
  • น้ำหนัก 34-44 กิโลกรัม กิน 1 เม็ดครึ่ง
  • น้ำหนัก 22-33 กิโลกรัม กิน 1 เม็ด

ยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม

  • น้ำหนัก 67 กิโลกรัมขึ้นไป กิน 2 เม็ด
  • น้ำหนัก 51-67 กิโลกรัม กิน 1 เม็ดครึ่ง
  • น้ำหนัก 33-50 กิโลกรัม กิน 1 เม็ด

ยาพาราเซทามอล ยี่ห้อไทลินอล (Tylenol) ขนาด 650 มิลลิกรัม ชนิดเม็ดออกฤทธิ์นาน 8 ชั่วโมง

ผู้ป่วยอายุ 18 ปีขึ้นไป น้ำหนักตั้งแต่ 44 กิโลกรัมขึ้นไป กิน 2 เม็ด แต่ละครั้งห่างกันอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เฉพาะเวลาปวดหรือมีไข้

น้ำหนักน้อยกว่า 44 กิโลกรัม หรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ให้ใช้ยานี้ เพราะจะได้รับยาเกินขนาดที่แนะนำ ซึ่งอาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้

สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 22 กิโลกรัม ก็ไม่ควรรับประทานยาพาราเซตามอลแบบเม็ดทุกขนาด ควรเข้าพบแพทย์โดยตรงเพื่อปรึกษาอาการและยาที่ควรใช้ (จริง ๆ สำหรับเด็กเล็ก จะกินเป็นแบบยาน้ำเชื่อม แล้วแพทย์จะช่วยคำนวณตามน้ำหนักตัวให้ ว่ากินกี่ซีซี)

ขณะที่ข้อควรระวังในการใช้ยาพาราเซตามอลนั้น ศ.ดร.เจษฎา ระบุไว้ดังนี้

  • ห้ามกินยาพาราเซตามอล ขนาด 500 มิลลิกรัม เกิน 8 เม็ดต่อวัน หรือ 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน
  • ห้ามกินยากับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะมีผลเสียต่อตับ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น ยาแก้หวัดบางชนิด ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด เพราะอาจทําให้ได้รับยาเกินขนาด
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้ หากดื่มสุราเป็นประจํา เป็นโรคตับหรือโรคไต
  • หากรับประทานยาแล้วเกิดอาการ เช่น บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก ให้หยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้หากมีภาวะพร่องจีซิกซ์พีดี (G6PD) หรือกำลังใช้ยาวาร์ฟารินซึ่งเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดหนึ่ง เพราะอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาได้ง่ายกว่าผู้อื่น
  • เก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท พ้นแสงแดด และความร้อน เก็บให้พ้นมือเด็ก และสัตว์เลี้ยง อย่าเก็บในที่ชื้น เพราะจะทำให้ยาเสื่อมสภาพ

ใช้ยาพาราเซตามอลเกิดขนาด กระทบอย่างไร ?

โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ระบุว่า อาการที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ยาเกินขนาด มีดังนี้

  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เหงื่อออก ภายใน 24 ชั่วโมง
  • เมื่อเจาะเลือดจะพบว่าเอนไซม์ตับสูงขึ้น แสดงถึงการบาดเจ็บของตับ
  • มีอาการอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มีภาวะแทรกช้อน หากรุนแรงอาจมีอาการสมองเสื่อมจากโรคตับ และเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที

อาการปวดแบบไหน กินพาราเซตามอลก็ไม่ช่วย

โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการปวด ที่ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาพาราเซตามอล ดังนี้

1. อาการปวดรุนแรง เช่น ปวดจากแผลผ่าตัดใหญ่ หรือจากมะเร็ง วิธีการประเมินความปวดอย่างง่ายวิธีหนึ่งคือการให้คะแนนความปวดจาก 0 ถึง 10 ให้เลข 0 แทนความรู้สึกที่ไม่มีอาการปวดแต่อย่างใดและเลข 10 แทนความรู้สึกปวดมากที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้

หากประเมินแล้วตัวเลขตกอยู่ในช่วง 7-10 นั่นหมายถึงการมีอาการปวดขั้นรุนแรง ยาพาราเซตามอลแต่เพียงขนานเดียวไม่สามารถรักษาได้แม้ว่าจะใช้เกินขนาดไปเท่าใดก็ตาม ดังนั้นผู้ป่วยที่มีความปวดระดับดังกล่าวห้ามใช้พาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำเพื่อหวังผลลดปวดและควรพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมต่อไป

2. อาการปวดที่มีลักษณะอาการแปลก ๆ อาการปวดโดยทั่วไปที่พาราเชตามอลมีผลรักษา เช่น ปวดตื้อ หรือกดเจ็บ จากเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบ หรือปวดศีรษะทั่วไป แต่มีอาการปวดบางชนิดที่พบได้ในผู้ป่วย เช่น ปวดแสบปวดร้อน เสียวแปลบเป็นพัก ๆ ปวดเหมือนเข็มเล็ก ๆ ทิ่มแทง ปวดเหมือนไฟชอร์ต ปวดร้าวไปที่บริเวณอื่น ๆ

อาการปวดเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการปวดจากการที่เส้นประสาททำงานผิดปกติ ปวดร่วมกับอาการชา ยาพาราเชตามอลมีผลน้อยมากในการรักษาอาการดังกล่าว ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเส้นประสาทมักมีอาการเรื้อรังจึงอาจใช้ยาพาราเชตามอลเองเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของตับ หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

3. อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง การใช้ยาพาราเซตามอลรักษาอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ โดยเฉพาะการใช้ยามากกว่า 15 วันต่อเดือนประมาณ 2-3 เดือนติดต่อกันจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิด “โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน (medication overuse headache)”

ดังนั้นผู้ที่อาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง เช่น ปวดศีรษะไมเกรนมากกว่าเดือนละ 3-4 ครั้ง หรือปวดศีรษะจากความเครียดที่มีลักษณะอาการปวดเหมือนศีรษะถูกบีบรัดมากกว่า 15 วันต่อเดือน ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนและอาจจำเป็นต้องรับยาอื่นที่ไม่ใช่พาราเชตามอลเพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะต่อไป