รู้จัก 4 ทีม ลุ้นแชมป์…ผู้จะสร้างประวัติศาตร์หน้าใหม่ฟุตบอลโลก 2018

REUTERS/Toru Hanai

มหกรรมฟุตบอลโลก2018 เดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย ระยะเวลา 27 วัน 60 แม็ตช์ นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้สร้างสีสัน และเรื่องราวช็อกแฟนบอลทั่วโลกไว้มากมาย

จนมาล่าสุดเหลืออยู่ 4 ทีมสุดท้ายจากทวีปยุโรปที่จะต้องตัดเชือก วัดฝีเท้ากันว่าทีมชาติไหนจะเข้าไปชิงชัย และเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก2018 หนนี้

“ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” ขอพาย้อนดูสถิติ เจาะลึกเรื่องราวของทั้ง 4 ทีมก่อนลุยรอบตัดเชือกคืนนี้

เริ่มด้วย 2 ทีม ที่มีศักดิ์ศรีเคยเป็นแชมป์เก่า 1 สมัยอย่าง ทีมชาติฝรั่งเศส และทีมชาติอังกฤษ ที่ทั้งคู่ต่างห่างหายจากการเป็นแชมป์มาหลายสิบปี

“ตราไก่” หรือ ทีมชาติฝรั่งเศส ห่างหายจากการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกมานาถึง 20 ปี โดยปีที่แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกและครั้งเดียวเกิดขึ้นในปี 1998 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ

อันดับแรงกิ้งฟีฟ่าของทัพตราไก่อยู่อันดับที่ 7 และเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 14 ครั้ง

มาหนหนี้ “ฝรั่งเศส” มารพร้อมสตาร์ดังคับทีม และโชว์ฟอร์มร้อนแรงทะลุเข้ามารอบตัดเชือกในที่สุด ในรอบแบ่งกลุ่มนั้นฝรั่งเศสจบอันดับ 1 เป็นแชมป์ของกลุ่ม C โดยที่ชนะ 2 เสมอ 1

AFP PHOTO / JORGE GUERRERO

ส่วนในรอบ 16 ทีม ต้องมาเจอกับทัพฟ้า-ขาว “ทีมชาติอาร์เจนตินา” ที่มีสตาร์ดังชื่อก้องโลก “ลีโอเนล เมสซี่” นำทัพที่เข้ารอบมาแบบฮืดจับ และก็ไม่ทำให้ผิดหวังด้วยการหักดาบส่งอาร์เจนติน่ากลับบ้านไปก่อนด้วยสกอร์ 4-3 ขณะที่ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ส่งทัพจอมโหด “อุรุกวัย” ตกรอบไปก่อนเช่นกันด้วยสกอร์ 2-0

และคงไม่พูดถึงคงไม่ได้กับกองหน้าอนาคตไกล “คีเลียน เอ็มบัปเป้” วัย 19 ปี นักฟุตบอลฝรั่งเศสที่มีค่าตัวสูงสุดในวงการฟุตบอล ที่โชว์ฟอร์มร้อนแรงไม่แพ้รุ่นพี่มากประสบการณ์ในทีม แถมยังทำสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในฟุตบอลโลกหนนี้ โดยตอนนี้เขายิงไปแล้วทั้งหมด 3 ประตู เท่ากับสตาร์รุ่นพี่ “อองตวน กรีซมันน์”

ทั้งนี้ “ฝรั่งเศส” มีสกอร์รวมทั้งหมด 9 ประตู จากการลงสนาม 5 นัด

“สิงโตคำราม” หรือ ทีมชาติอังกฤษ ขวัญใจของคนทั่วโลก ที่ห่างหายจากการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกมาอย่างยาวนานเช่นเดียวกับฝรั่งเศส แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดและครั้งเดียวของอังกฤษเกิดขึ้นในปี 1966 หรือนับย้อนไปเมื่อ 52 ปีก่อน

อันดับแรงกิ้งฟีฟ่าของอังกฤษอยู่ในอันดับที่ 12 และเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 14 ครั้ง

ถึงแม้จะจบในรอบแรกด้วยการเป็นรองแชมป์กลุ่ม G ด้วยการชนะ 2 นัด และแพ้ 1 นัด มาในรอบ 16 ทีมถึงฟอร์มจะไม่ร้อนแรงจบด้วยการเสมอกับโคลอมเบีย 1-1 แต่ก็ยังเอาชนะด้วยการดวลจุดโทษเขี่ยโคลอมเบียต้องกลับบ้านก่อนด้วยสกอร์ 4-3

ส่วนรอบ 8 ทีมนั้นอังกฤษโชว์ฟอร์มดีตี๋ตัวให้สวีเดนกลับบ้านไปก่อนด้วยสกอร์ 2-0 ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในรอบน็อกเอาต์นับตั้งแต่เอาชนะเอกวาดอร์ได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลกปี2006

AFP PHOTO / Alexander NEMENOV

“แฮร์รี่ เคน” กองหน้าจากท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่สวมปลอกแขนกัปตันทีม ที่ปีนี้นอกจากจะนำทัพเข้าสู่รอบตัดเชือกแล้ว ยังทำสถิติใหม่ของตัวเองด้วยการเป็นนักฟุตบอลอังกฤษคนแรกในรอบ 79 ปี ที่ยิงประตูติดต่อกัน 6 นัด แถมตอนนี้ยังขึ้นนำดาวซัลโวสูงสุด ยิงไปแล้ว 6 ประตู

ทั้งนี้ “อังกฤษ” ยิงไปแล้วทั้งหมด 11 ประตู จากการลงแข่งขัน 5 นัด

มากันที่ 2 ทีม ฟอร์มดีที่ยังไม่เคยเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกสักสมัย คราวนี้คงมีหวังได้ลุ้นเข้าชิงเป็นแน่แท้

“ปีศาจแดงแห่งยุโรป” หรือ ทีมชาติเบลเยี่ยม ที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ทำได้ดีสุดด้วยการคว้าอันดับ 4 ในฟุตบอลโลกปี 1986 หรือเมื่อ 32 ปีที่ผ่านมา

อันดับแรงกิ้งฟีฟ่าของเบลเยียมอยู่อันดับที่ 3 และเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 12 ครั้ง

เบลเยียม ฟอร์มร้อนแรงมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการชนะ 3 นัดรวด เป็นแชมป์ของกลุ่ม G ในรอบ 16 ทีม เอาชนะแข้งจากแดนซามุไรไปได้หวุดหวิวในช่วงท้ายเกม 3-2 แถมในรอบ 8 ทีม ยังโค่นเต็งแชมป์ฟุตบอลโลกหนนี้อย่าง “แซมบ้า” บราซิล ไปแบบเหนือความคาดหมาย

REUTERS/Toru Hanai

ห้องเครื่องอย่าง “เควิน เดอ บรยอด์” และหัวหอกร่างยักษ์ “โรเมลู ลูกากู” คงเป็นความหวังที่จะช่วยพาทีมเข้ารอบต่อไปได้ไม่อยาก

สำหรับ “ลูกากู” นั้น เป็นรองดาวซัลโวในทัวร์นาเมนต์ตอนนี้ ยิงไปแล้ว 4 ประตู

ทั้งนี้ทีมชาติเบลเยี่ยม นับเป็นทีมชาติที่ทำประตูมากสุดในทัวร์นาเมนต์หนนี้ ตอนนี้ลงสนาม 5 นัด ทำไปแล้ว 14 ประตู

ปิดท้ายกับ “ตราหมากรุก” หรือ ทีมชาติโครเอเชีย ที่ยังไม่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเช่นกัน ทำได้ดีสุดด้วยการเป็นอันดับ 3 ในปี 1998

อันดับแรงกิ้งฟีฟ่าของโครเอเชียนั้นอยู่อันดับที่ 20 และเข้ารอบฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้วเพียง 4 ครั้ง

สร้างความฮือฮาให้เห็นตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ที่คว้าชัย 3 นัดรวด แถมยังเอาชนะทัพฟ้า*ขาวมาแบบสวยงามด้วยสกอร์ 3-0 เป็นแชมป์ของกลุ่ม D

ในรอบ 16 ทีม และ 8 ทีม ของโครเอเชียนั้นต้องดวลกันถึงจุดโทษกว่าจะคว้าชัยเข้ามาสู่ในรอบนี้ได้

REUTERS/Kai Pfaffenbach

จุดแข็งของทีมคงต้องยกให้กอง ที่มี “ลูก้า โมดริช” มิดฟิลด์กัปตันทีมที่คอยบัญชาการเกมรุก และกระตุ้นลูกทีมตลอดเวลา นับว่าเขาเป็นกัปตันทีมที่ยอดเยี่ยมมากสุดในทัวร์นาร์เมนต์นี้เห็นจะได้

ทั้งนี้ทีมชาติโครเอเชีย ลงสนามไปแล้ว 5 นัด ทำไปแล้วทั้งหมด 10 ประตู

นับจากนี้คงต้องลุ้นกันดูว่า 2 ทีมที่มีศักดิ์ศรีเป็นแชมป์มาแล้ว 1 สมัย หรืออีก 2 ทีม จะเป็นผู้สร้างประวัติศาสร์หน้าใหม่ให้กับฟุตบอลโลกหนนี้ต้องติดตาม….