“เที่ยวไทย” ท้าทายรอบด้านชงรัฐดันนักท่องเที่ยวถึง 40 ล้านคน

เที่ยวไทย

ท่องเที่ยวไทยไตรมาสแรก 2567 สุดท้าทาย ปัจจัยลบรอบด้าน สงครามส่อเค้าบานปลาย เศรษฐกิจไทย-จีนซึม กระทบมู้ดการเดินทาง สทท.ยันเป้ารายได้ทัวริสต์ 3.5 ล้านล้านต้องมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน ด้านแอตต้าประเมินจีน 8 ล้านคนเป็นไปได้ แต่ต้องเร่งสร้างภาพลักษณ์-ดึงชาร์เตอร์ไฟลต์

รองศาสตราจารย์ผกากรอง เทพรักษ์ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย เปิดเผยว่า จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวไตรมาส 4/2566 พบว่าอยู่ที่ระดับ 77 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2566 ซึ่งอยู่ที่ 69 สะท้อนสถานการณ์ท่องเที่ยวยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติมาก แต่ดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ส่วนไตรมาส 1/2567 คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวจะดีขึ้นกว่าช่วงปลายปี 2566 เล็กน้อย และดีกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 82 เมื่อพิจารณารายภูมิภาค พบว่าผู้ประกอบการมีมุมมองต่อสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาส 1/2567 จะดีขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาในทุกภูมิภาค

โดยมีปัจจัยบวกคือ ไตรมาส 1/2567 เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของทั้งชาวไทยและต่างชาติ เช่น ช่วงฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ มีวันหยุด-เทศกาลหลายครั้ง อีกทั้งทางการไทย-จีน มีนโยบายเปิดฟรีวีซ่าถาวรระหว่างกัน ทำให้มีจำนวนเที่ยวบินไทย-จีนเพิ่มมากขึ้น ราคาบัตรโดยสารเครื่องบินถูกลง

ขณะเดียวกันรายงานดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวระบุต่อไปว่า ปัจจัยลบที่อาจส่งผลต่อภาพรวมการท่องเที่ยวไทยในไตรมาส 1/2567 คือ เศรษฐกิจโลกในภาพรวมขยายตัวในระดับต่ำ เศรษฐกิจไทยและจีนเข้าสู่ภาวะเงินฝืด รวมถึงความล่าช้าของการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567

ประกอบกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน, อิสราเอล-ฮามาส, สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรกับกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน อาจยกระดับความรุนแรงและบานปลาย ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการส่งออกและการค้าโลก ปัจจัยดังกล่าวนี้ทำให้การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยน่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ

ทั้งนี้ คาดว่าปี 2567 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 33.4-34 ล้านคน น้อยกว่าปี 2562 ราว 16% และมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าปี 2562 ที่ประมาณ 18%

นอกจากนี้ ยังประเมินว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยจำนวน 6.5-7 ล้านคน น้อยกว่าก่อนโควิด-19 ระบาดที่ราว 40% มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 353,359 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 ราว 34%

ด้านนายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ในปีนี้รัฐบาลกำหนดเป้าหมายมีรายได้จากภาคการท่องเที่ยวสูงถึง 3.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างมาก โดย สทท.มองว่าเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องมีรายได้จาก 2 ส่วน คือ 1.รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

โดยต้องมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน (เท่าปี 2562) หากค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวที่ประมาณ 56,000-57,000 บาทต่อคนต่อทริป จะมีรายได้ 2.24-2.30 ล้านล้านบาท และ 2.รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยเที่ยวในประเทศ (ไทยเที่ยวไทย) ประมาณ 1.20-1.26 ล้านล้านบาท

“จากเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการมีรายได้จากนักท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท เมื่อคำนวณดูแล้ว จำเป็นต้องมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเยือนไทยราว 40 ล้านคน แต่หากดำเนินนโยบายเช่นในปัจจุบัน คาดว่าไตรมาส 1 และ 4 ของปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไตรมาสละ 9 ล้านคน ขณะที่ไตรมาส 2 และ 3 จะมีนักท่องเที่ยวไตรมาสละ 6 ล้านคน รวมเป็น 30 ล้านคน ยังไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ” นายชำนาญกล่าว และว่า

ดังนั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้จากภาคการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท ตนเสนอให้รัฐบาลเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุน เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ นอกจากนี้ เสนอให้เปิดฟรีวีซ่าเชิงความสนใจหรือเชิงพื้นที่ เช่น วีซ่าเรียนมวยไทย อีกทั้งส่งเสริมไทยเที่ยวไทยผ่านการกระตุ้นการท่องเที่ยวของข้าราชการ พร้อมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โครงสร้างขั้นพื้นฐานให้มีความสะดวก-ปลอดภัย

ขณะที่นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) กล่าวว่า จากเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประเทศไทยที่ 8 ล้านคน น่าจะมีความเป็นไปได้ จากในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยที่ประมาณ 20,000 คนต่อวัน และเชื่อว่าแนวโน้มดังกล่าวจะดำเนินต่อไปแม้พ้นช่วงหลังเทศกาลตรุษจีน

“นักท่องเที่ยวจีนยังให้ความสำคัญต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในการท่องเที่ยวเมืองไทย จึงเสนอให้ภาครัฐกวดขัน ดูแล สร้างความปลอดภัยและเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว”

เช่นเดียวกับนายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) ที่กล่าวเสริมว่า ตนมองว่าหากไทยมีเป้าหมายดึงนักท่องเที่ยวจีนให้ได้ 8 ล้านคนนั้น นโยบายวีซ่าฟรีแก่นักท่องเที่ยวจีนนั้นยังไม่พอ ตนเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการเปิดเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) เพื่อกระตุ้นการทำตลาดของนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ และไม่กระตุ้นเพียงแต่ตลาดจีนอย่างเดียว แต่มีตลาดอื่น ๆ เช่น อินเดีย อีกด้วย