“บินไทย” เปิดตัวเลขปี62 ขาดทุน 1.2 หมื่นล้าน ยันเดินหน้าลดค่าใช้จ่าย ฝ่าวิกฤตโควิด-19

พยายามแล้ว แต่ยังขาดทุน! การบินไทยเผยปี’ 62 ขาดทุนสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท แม้ลดค่าใช้จ่ายได้ 5.8% เหตุปัจจัยลบกระหน่ำ เศรษฐกิจโลก-เทรดวอร์-ค่าบาทแข็ง ก่อนเจอซ้ำด้วยวิกฤตโคโรน่า-ผู้บริหารกัดฟันลดผลตอบแทน 50% ชี้ยังมีหลายเรื่องคืบหน้า เดินหน้าลดค่าใช้จ่ายต่ออีก

นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เผชิญหน้ากับปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการประกอบการหลายประการ ทำให้แม้จะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้ลดลงเหลือ 196,470 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 12,088 ล้านบาทหรือกว่า 5.8% แต่บริษัทฯ และบริษัทย่อยยังคงขาดทุนสุทธิ 12,017 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) ลดลง 2.7% และปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) ลดลง 0.9% ในขณะที่อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 79.1% สูงกว่าปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 77.6% และจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 24.51 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.8% ทำให้มีรายได้รวมทั้งสิ้น 184,046 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 15,454 ล้านบาท หรือ 7.7%

“บริษัทฯ ต้องเผชิญปัจจัยลบหลายประการ ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ภัยธรรมชาติ การแข็งค่าของเงินบาทที่สุดในรอบ 6 ปี การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง การหยุดบินในบางเส้นทางจากเหตุการณ์ปิดน่านฟ้าของสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน การประท้วงในฮ่องกง และการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ในช่วงปลายปี 2562 ประกอบกับมีการรับรู้ค่าชดเชยตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เพิ่มขึ้นจาก 300 วันเป็น 400 วัน รวมทั้งปัจจัยภายในคือปัญหาความล่าช้าของการซ่อมเครื่องยนต์ของบริษัทผู้ผลิต”

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมีความคืบหน้าในหลายโครงการ ได้แก่ โครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา (MRO) การบินไทยในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการได้จัดส่งเอกสารการคัดเลือกให้แก่เอกชนผู้ประสงค์ร่วมทุนเรียบร้อยแล้วในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยกำหนดการยื่นข้อเสนอของเอกชนผู้ประสงค์ร่วมทุนภายในวันที่ 6 มีนาคมนี้ และจะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเอกสารและประเมินข้อเสนอของคณะกรรมการคัดเลือกต่อไป

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังได้บูรณาการการบริหารจัดการการบินไทยและไทยสมายล์ โดยใช้หลักการบริหารจัดการแบบ Brother-Sister โดยมีการควบรวมแผนงานในทุกภาคส่วนโดยเฉพาะด้านการขายและการวางแผนเส้นทางบิน โดยการบินไทยจะเป็นผู้กำหนดทิศทางและกลยุทธ์ในการขายที่นั่งบนเที่ยวบินของสายการบินไทยสมายล์ทุกเส้นทางบินเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 ภายใต้วิธีการ Block Space Concept ส่งผลให้ผลการดำเนินงานโดยรวม เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน

พร้อมกันนั้น บริษัทยังได้บริหารจัดการด้านรายได้ การขายและการตลาด โดยดำเนินกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าแบบ Personalized มุ่งเน้นการสร้างรายได้เสริม (Ancillary Revenue) เช่น รายได้จากการขาย Preferred Seat และการเพิ่มรายได้ในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับการบิน เช่น การเพิ่มรายได้ของฝ่ายครัวการบิน รวมทั้งเร่งดำเนินงานด้าน Digital Marketing โดยใช้ Big Data และ Data Analytic ในการวิเคราะห์ตลาดเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มการขายทาง Online รวมทั้งการขายสินค้าออนไลน์โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางการค้าที่อยู่ในระบบตลาดสินค้าออนไลน์ให้มากขึ้น

รวมถึงชยังได้ดำเนินการขายเครื่องบินที่ปลดระวางแล้วอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 มีการโอนกรรมสิทธิ์เครื่องบินให้แก่ผู้ซื้อรวม 6 ลำ ได้แก่ เครื่องบินแบบแอร์บัส A330-300 จำนวน 5 ลำ และเครื่องบินแบบโบอิ้ง B747-400 จำนวน 1 ลำ พร้อมดำเนินการสร้างห้องรับรองพิเศษ Royal Orchid Prestige Lounge แห่งที่ 8 ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้แนวคิด Ecology Green Mood Concept และเปิดเส้นทางบินใหม่สู่เซนได ประเทศญี่ปุ่นไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 โดยทำการบิน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

นายสุเมธ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 บริษัทฯ ยังเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดไวรัสโควิด-19 มาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ฃต้องปรับลดเที่ยวบินเป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทฯ ได้วางแผนและกำหนดมาตรการต่างๆ รองรับวิกฤตินี้และบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยมุ่งเน้นการควบคุมและลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการและความปลอดภัย อาทิ ชะลอการลงทุน ชะลอการว่าจ้างบุคลากร ลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดจ้าง ลดวัสดุอุปกรณ์สิ้นเปลือง ฯลฯ

“รวมทั้งปรับลดเงินเดือนระดับผู้อำนวยการใหญ่ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ร่วมสมัครใจลดผลตอบแทนลงร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย และรุนแรงขึ้น บริษัทฯ ได้วางแผนและเพิ่มระดับมาตรการรับมืออย่างเข้มข้นต่อไป”