ทำไมสหรัฐพลิกให้สิทธิคุ้มครอง มกุฎราชกุมารซาอุฯ คดีนักข่าวถูกฆ่า

มกุฎราชกุมารซาอุฯ
Crown Prince Mohammed bin Salman of Saudi Arabia, in Nusa Dua, Bali, Indonesia. (Leon Neal/Pool Photo via AP)

จู่ ๆ รัฐบาลไบเดนเปลี่ยนทิศ ยอมงอไม่ยอมหัก หันให้สิทธิคุ้มกัน มกุฎราชกุมารซาอุฯ พ้นจากการถูกฟ้องร้องคดีบงการสังหารนักข่าว

วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 สำนักข่าว เอพี รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ควรได้รับสิทธิคุ้มครองตามกฏหมายจากคดีที่ทรงถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องกับการสังหารนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวอิสระชาวซาอุฯ และคอลัมนิสต์ในสหรัฐ

ท่าทีนี้ต่างจากคำพูดของนายของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ เคยประณามเจ้าชายว่าอยู่เบื้องหลังการสังหารอย่างโหดเหี้ยม

รัฐบาลสหรัฐชี้แจงว่า มกุฏราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เป็นผู้ปกครองประเทศโดยพฤตินัยและเพิ่งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือนกันยายน จึงควรได้รับสิทธิคุ้มกันจากการฟ้องร้องจากหญิงคู่หมั้นของนายคาช็อกกี และกลุ่ม Democracy for the Arab World Now หรือ DAWN ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่นายคาช็อกกีก่อตั้ง

ภาพนายจามาล คาช็อกกี REUTERS/Osman Orsal/File Photo

แบบอย่างที่ปฏิบัติมานาน

คำร้องขอสิทธิคุ้มครองดังกล่าวไม่มีผลผูกมัดและขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้พิพากษาว่าจะตัดสินให้การคุ้มครองหรือไม่ แต่สร้างกระแสไม่พอใจให้กับกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมายสหรัฐหลายคน

ซาอุดีอาระเบียเพิ่งเพิ่มโทษจำคุกและมาตรการอื่น ๆ เพื่อตอบโต้ผู้วิจารณ์โดยสันติทั้งในและนอกประเทศ

นอกจากนี้ซาอุฯ ยังตัดลดปริมาณการผลิตน้ำมัน หักหน้าสหรัฐและพันธมิตรที่ต้องการเล่นงานรัสเซียที่ก่อสงครามบุกยูเครน

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแถลงเมื่อวันที่ 17 พ.ย. คำเหตุผลเรียกร้องฝ่ายบริหารให้สิทธิคุ้มครองแก่เจ้าชาย ว่าเป็นการตัดสินใจทางกฎหมายและเป็นแบบอย่างที่ปฏิบัติตามมานานแล้ว พร้อมระบุว่าไม่เห็นข้อดีของการฟ้องร้อง

สถานกงสุลใหญ่ซาอุฯ ที่นครอิสตันบูล ซึ่งนายคาช็อกกีถูกสังหาร / AFP PHOTO / Yasin AKGUL

ไบเดนเปลี่ยนไป

คดีสังหารนายคาช็อกกี เป็นเรื่องสะเทือนขวัญระดับโลกเมื่อปี 2561 เพราะเกิดขึ้นภายในอาคารสถานกงสุลใหญ่ซาอุดีอาระเบีย ประจำนครอิสตันบูล ของตุรกี นอกจากเหยื่อถูกสังหารแล้ว ศพยังถูกทำลายไปหมดสิ้น หน่วยข่าวกรองสหรัฐสรุปการสืบสวนว่าเจ้าชายทรงบงการฆ่าปิดปากนักข่าวชาวอเมริกันที่เขียนวิจารณ์พระองค์อย่างรุนแรง

สำหรับนายไบเดนแม้กล่าวถึงคดีนี้อย่างแข็งกร้าว แต่เมื่อเป็นประธานาธิบดีแล้ว ก็เสียงอ่อนลงและพยายามผ่อนคลายความตึงเครียดกับซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือน ก.ค. ยังเดินทางเยือนซาอุฯ และถ่ายภาพชนหมัดกับเจ้าชายอย่างเป็นกันเอง

มกุฎราชกุมารซาอุฯ
(Bandar Aljaloud/Saudi Royal Palace via AP)

อ่อนข้อเพื่อน้ำมัน?

แถลงการณ์ล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐ อ้างถึงกฎข้อจำกัดวีซ่าและบทลงโทษเจ้าหน้าที่ระดับล่างซาอุดีอาระเบียที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนายคาช็อกกี ในปี 2561 เพื่อแสดงให้เห็นว่าสหรัฐออกแอ็กชั่นในเรื่องนี้ไปแล้ว ว่าเจ้าหน้าที่รัฐของซาอุดีอาระเบียต้องรับผิดชอบต่อความตายของนายคาช็อกกี โดยไม่เอ่ยถึงมกุฎราชกุมารอีก

ขณะที่ น.ส.ฮาทิซ เซนกิซ คู่หมั้นของนายคาช็อกกี และกลุ่ม DAWN ยื่นฟ้องมกุฎราชกุมาร ผู้ช่วยระดับสูงคนอื่น ๆ ต่อศาลกลางวอชิงตัน โดยซาอุดีอาระเบียยืนยันมาตลอดว่าเจ้าชายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสังหาร

ซาราห์ เลห์ วิทสัน หัวหน้า DAWN กล่าวว่า ไบเดนมั่นใจว่าเจ้าชายจะลอยนวลจากความรับผิดชอบได้ เมื่อไบเดนขึ้นเป็นประธานาธิบดี ทั้งที่เคยให้สัญญากับชาวอเมริกันว่าจะทำทุกอย่างให้พระองค์ต้องรับผิดชอบ

วิทสันมองว่า การกระทำของรัฐบาลไบเดนในวันนี้เป็นการยอมอ่อนข้อให้กับแรงกดดันของซาอุดีอาระเบีย เพื่อจะแลกเปลี่ยนกันให้ซาอุฯ ยุติการลดปริมาณการผลิตน้ำมัน

มกุฎราชกุมารซาอุฯ
Saudi Crown Prince Mohammed bin Salman in Bangkok on November 18, 2022. (Photo by Rungroj YONGRIT / POOL / AFP)

แถลงการณ์ของรัฐบาลสหรัฐเผยแพร่หลังจากผู้พิพากษาศาลกลางในวอชิงตันให้เวลารัฐบาลสหรัฐ จนถึงเที่ยงคืนของวันพฤหัสที่ 17 พ.ย.เพื่อแสดงความเห็นต่อกรณีที่คณะทนายของมกุฏราชกุมารระบุว่า พระองค์ทรงมีสถานะสูง จึงควรให้มีสิทธิคุ้มครองทางกฎหมายในคดีนี้

การคุ้มกันองค์อธิปัตย์ ในกฎหมายสากล ถือว่ารัฐและเจ้าหน้าที่รัฐได้รับความคุ้มครองจากการดำเนินคดีทางกฎหมายในศาลภายในประเทศของรัฐในต่างประเทศ ผู้นำอเมริกันก็จะไม่ต้องกังวลว่าจะต้องขึ้นศาลในต่างประเทศและต่อสู้คดีความในประเทศอื่น ๆ เช่นกัน

กลุ่มสนับสนุนสิทธิมนุษยชนตำหนิว่า การกระทำครั้งนี้รัฐบาลสหรัฐ จะเปิดช่องให้เจ้าชายและผู้นำอื่น ๆ ทั่วโลกละเมิดสิทธิได้ต่อไป

เจ้าชายโมฮัมเหม็ดทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองโดยพฤตินัยของซาอุดีอาระเบียแทนสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน พระราชบิดาที่มีพระชนมายุมากและทรงมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับพระราชโอรสเมื่อเดือนกันยายน ซึ่งนักวิจารณ์เห็นว่าเป็นการปูทางสร้างสิทธิคุ้มกันให้กับเจ้าชาย

…….