ซีเอ็นเอ็นรายงานวันที่ 20 มี.ค. ว่า เฟซบุ๊ก สื่อโซเชียลยักษ์ใหญ่ของโลก สัญชาติอเมริกัน เผชิญวิกฤตครั้งใหญ่จากกรณีอื้อฉาวว่าด้วยการปล่อยให้บริษัทเคมบริดจ์ อนาลีติกา ผู้ทำข้อมูลให้ทีมหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊ก 50 ล้านรายชื่อไปใช้อย่างไม่เหมาะสม ข้อครหาดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทในวันจันทร์ที่ 19 มี.ค. ดิ่งลงอย่างฮวบฮาบ 6-8% หนักที่สุดในรอบ 5 ปี
ด้านเว็บไซต์ฟอร์บส์ สื่อธุรกิจชั้นนำ ประเมินว่า ความเสียหายครั้งนี้ไม่เพียงทำลายความน่าเชื่อถือของเฟซบุ๊ก ยังทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและนายใหญ่ของเฟซบุ๊กสั่นสะเทือนหายไปแล้ว 5,100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 158,000 ล้านบาท
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
ซักเคอร์เบิร์กถือครองหุ้น 16% ของเฟซบุ๊ก ตอนนี้มีทรัพย์สินเหลืออยู่ที่ 69,500 ล้านดอลลาร์ ตกจากมหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลกลงไปที่อันดับ 7 ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังยังไม่ออกมาแถลงใดๆ ถึงกรณีเคมบริดจ์ อนาลีติกาให้ชัดเจน และไม่มีผู้บริหารคนอื่นออกมาอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
สถานการณ์นี้มีเพียงนายพอล กรีวัล รองที่ปรึกษาทั่วไปของเฟซบุ๊กที่ออกมาแถลงย้ำว่า การปกป้องข้อมูลของผู้ใช้เป็นหัวใจสำคัญของทุกอย่างที่บริษัททำ หลังจากระงับการให้บริการกับบริษัทนี้และตั้งทีมสอบสวนเรื่องนี้แล้ว
เฟซบุ๊กถูกกล่าวหาว่าไม่พยายามพอที่จะปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ปล่อยให้บริษัทเคมบริดจ์ อนาลีติกา บริษัทเก็บข้อมูลทางการเมืองที่ก่อตั้งโดยนายสตีฟ แบรนนอน อดีตผู้ช่วยของนายทรัมป์ นำข้อมูลไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง กระทั่งถูกพนักงานเก่าชื่อ คริสโตเฟอร์ ไวลี แฉว่าบริษัทนำข้อมูลนี้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญวิจัยเพื่อใช้ให้เกิดผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ผ่านมา
กรณีอื้อฉาวล่าสุดนี้ตอกย้ำปัญหาของเฟซบุ๊กในการให้บริการข้อมูลทางธุรกิจที่เป็นตัวทำรายได้ให้บริษัท เมื่อขายข้อมูลนี้ให้ผู้พัฒนาแอพฯ และนักโฆษณา โดยห้ามส่งต่อข้อมูลให้บุคคลที่สาม ซึ่งในสภาพความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊กตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวแพร่เฟกนิวส์ หรือข่าวปลอม จนต้องไปลดการแชร์ข่าวของเว็บไซต์ข่าวต่างๆ ขณะที่ผู้ใช้สม่ำเสมอในสหรัฐอเมริกา 184 ล้านรายลดลงเป็นครั้งแรกในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน และสูญเสียผู้ใช้อายุต่ำกวา 25 ปีไป 2.8 ล้านรายในปีก่อน ส่วนปีนี้ อีมาร์เก็ตคาดว่าจะเสียไปอีก 2 ล้านราย
ที่มา ข่าวสดออนไลน์