ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวคราวเกี่ยวกับ สปป.ลาว ประเทศเพื่อนบ้านของเราได้รับความสนใจขึ้นมามากอีกครั้ง หลังจากมีข่าวธนาคาร 4 ธนาคารจากประเทศไทยปิดสาขาและเลิกกิจการในประเทศลาว นำมาซึ่งการตั้งข้อสังเกตของทั้งชาวไทยและชาวลาวว่า นี่เป็นสัญญาณอันตรายว่าเศรษฐกิจลาวกำลังจะแย่กว่านี้ และอาจเดินไปสู่การเป็นประเทศที่ผิดนัดชำระหนี้และล้มละลายอย่างศรีลังกาหรือไม่ ?
จากประเด็นความกังวลดังกล่าว “ประชาชาติธุรกิจ” ได้นำเสนอรายงานเชิงวิเคราะห์หัวข้อ ห่วง “ลาว” ล้มละลาย หลังธนาคารไทยแห่โบกมือลา เผยแพร่ครั้งแรกในวันที่ 29 สิงหาคม 2023
และล่าสุด ในจังหวะนี้ มีบทวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจลาว โดย “วิจัยกรุงศรี” เผยแพร่ในวันที่ 30 สิงหาคม 2023 ที่น่าจะช่วยให้มองเห็นภาพอนาคตของลาวได้ “ประชาชาติธุรกิจ” จึงหยิบยกมานำเสนอให้อ่านกัน
บทวิเคราะห์ของ “วิจัยกรุงศรี” มองว่า เศรษฐกิจลาว ขยายตัวดีขึ้นในระยะสั้นท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่สูงต่อเนื่อง โดยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจลาวที่โต 2.3% ในปีที่แล้วจะเร่งตัวขึ้นเป็น 4.0% ได้ในปีนี้ หากมีโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ยั่งยืนในภาคบริการ
“วิจัยกรุงศรี” บอกว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงกำลังผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อของลาวลดลง แต่ก็ยังคงเป็นอัตราที่สูงเป็นพิเศษ เนื่องจากสกุลเงินกีบของลาวอ่อนค่า ซึ่งสิ่งนี้จะกัดกร่อน “รายได้ที่แท้จริง” ของชาวลาวต่อไป
ส่วนมาตรการของธนาคารกลางแห่ง สปป.ลาว (BOL) ที่ใช้เพื่อลดแรงกดดันจากค่าเงินกีบที่อ่อนค่านั้นถูกจำกัดด้วยกรอบการดำเนินงานทางการเงินที่ไม่ดี และสภาพแวดล้อมที่พึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่
ในระยะกลาง คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจลาวจะยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 เนื่องจากความเปราะบางทางโครงสร้าง โดยคาดว่าการเติบโตเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.0%ต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ที่ 6.4%
แนวโน้มวัฏจักรเศรษฐกิจมีแนวโน้มเป็นบวก เนื่องจากภาคบริการมีการฟื้นตัวหลังสิ้นสุดการแพร่ระบาดของโควิด-19
คาดว่าการเติบโตจะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น โดยได้รับแรงหนุนจากภาคบริการ โดยเฉพาะโลจิสติกส์และการท่องเที่ยว เป็นผลมาจากการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง ซึ่งส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวฟื้นตัว โดยเฉพาะจากจีนและไทย และทำให้การเดินรถไฟลาว-จีนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ส่วนบัญชีดุลการค้าคาดว่าจะมีแนวโน้มเชิงบวก นอกจากนี้ เศรษฐกิจภายในประเทศอาจได้รับประโยชน์จากการไหลเข้าของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำและพลังงานหมุนเวียน
“อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่องคุกคามต่อรายได้ที่แท้จริงของครัวเรือนและอาจบั่นทอนอุปสงค์ในประเทศ”
การส่งออกสินค้าโดยรวมชะลอตัว มีสาเหตุหลักมาจากการส่งออกไปยังจีนที่อ่อนแอลง ส่วนการส่งออกไปยังประเทศไทยและเวียดนามกำลังฟื้นตัวขึ้นตามอุปสงค์ในประเทศที่ค่อนข้างฟื้นตัวในทั้งสองตลาด แม้ว่าอุปสงค์ในเวียดนามจะชะลอตัวลงเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ตาม
“ความเปราะบางในภาครัฐ (ดีมานด์) ภายนอก และภาคการเงินจะชะลอการฟื้นตัว และจำกัดการเติบโตระยะกลางให้ต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด” วิจัยกรุงศรีประเมิน
“วิจัยกรุงศรี” บอกอีกว่า ช่องโหว่ภายนอกยังคงเด่นชัด แม้ว่าบัญชีเดินสะพัดจะดีขึ้น นำโดยการฟื้นตัวของยอดเงินในดุลบัญชีบริการ แต่การลงทุนระหว่างประเทศโดยรวมกลับแย่ลง เมื่อผนวกกับการต้องชำระหนี้ภายนอกจำนวนมาก สถานการณ์นี้ได้สร้างแรงกดดันอย่างมากต่อทุนสำรองเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินกีบของลาว เนื่องจากอุปสงค์จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศลดลงเหลือ 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022 ซึ่งครอบคลุมการนำเข้าน้อยกว่า 2 เดือน
นอกจากนี้ ภาระการชำระหนี้ต่างประเทศคาดว่าจะเกินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศขึ้นไปที่ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วงปี 2023-2026
“ภาระหนี้ที่สูงจะยังคงกดดันเสถียรภาพภายนอก และจำกัดความสามารถของ BOL ในการทนต่อแรงกระแทกจากภายนอก”
นอกจากนั้น “วิจัยกรุงศรี” อ้างถึงคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ว่า ภาครัฐยังคงมีความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่สูงเป็นพิเศษ ซึ่ง IMF คาดว่าจะยังคงเกิน 100% ของจีดีพีไปอีก 7 ปีข้างหน้า