รัฐบาลฮ่องกงตั้งเป้าดึงดูดมหาเศรษฐีจากทั่วทุกมุมโลกเข้าไปจัดตั้ง “สำนักงานครอบครัว” (Family Office) ในฮ่องกงให้ได้ไม่น้อยกว่า 200 ครอบครัวก่อนปี 2025 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามผลักดันฮ่องกงให้เป็น “ศูนย์กลางบริหารความมั่งคั่งระหว่างประเทศ”
เพื่อผลักดันการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย รัฐบาลฮ่องกงได้จัดการประชุม “Wealth for Good Summit” เมื่อเดือนมีนาคม 2023 โดยเชิญผู้มั่งคั่งจากทั่วโลกเข้าร่วมงาน รวมทั้ง “บิลล์ เกตส์” อภิมหาเศรษฐีระดับโลก และ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ อภิมหาเศรษฐีจากไทย
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
ในงานนั้น รัฐบาลฮ่องกงได้ประกาศมาตรการดึงดูดเป้าหมาย ซึ่งมาตรการที่สำคัญ คือ การยกเว้นภาษีจากผลกำไรสำหรับสำนักงานครอบครัวเฉพาะครอบครัวเดียว (Single Family Office) หากสำนักงานนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินรวมอย่างน้อย 240 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างน้อย 2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
แม้ว่าฮ่องกงพยายามมากขนาดนั้นแล้วก็ตาม แต่มีข้อมูลเปิดเผยล่าสุดว่า ผลลัพธ์ที่ฮ่องกงได้นั้นไม่มากเท่าที่ตั้งความหวังไว้
“นิกเคอิ เอเชีย” (Nikkei Asia) รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า หัวหน้าบริษัทบริหารความมั่งคั่งและสำนักงานครอบครัวในฮ่องกงรายหนึ่งกล่าวว่า มาตรการดึงดูดของฮ่องกงแทบไม่ได้รับการตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมายเลย
“มีแรงจูงใจน้อยมากสำหรับชาวต่างชาติที่จะมาฮ่องกง รวมถึงชาวจีนแผ่นดินใหญ่ด้วย” เขากล่าวและบอกว่า ฮ่องกงมีภาษีที่ต่ำมาก และมีวิธีการลงทุนอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งเป็นสำนักงานครอบครัว
รายงานของหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของฮ่องกงที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคม 2023 เผยว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการในภาคการจัดการความมั่งคั่งและสินทรัพย์ของฮ่องกงในปี 2022 ลดลง 14% โดยมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิ 121,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวน 638,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงในปี 2021
ขณะเดียวกัน “สิงคโปร์” ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของฮ่องกงเป็นผู้ชนะในเกมนี้
สิงคโปร์เริ่มผลักดันตนเองในการดึงดูดครอบครัวมหาเศรษฐีเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และประสบความสำเร็จกับเป้าหมายนี้เป็นอย่างมาก โดยข้อมูลจากธนาคารกลางสิงคโปร์เผยให้เห็นว่า จำนวนสำนักงานครอบครัวในสิงคโปร์เพิ่มขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” จากที่มีเพียง 50 แห่งในปี 2021 เพิ่มขึ้นเป็น 1,100 แห่งในปี 2022
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฮ่องกงด้อยกว่าสิงคโปร์ในเรื่องนี้ คือ ฮ่องกงไม่ได้ให้เส้นทางสู่สถานะ “ผู้พำนักถาวร” แก่ครอบครัวที่ตั้งสำนักงานครอบครัวในฮ่องกง ขณะที่สิงคโปร์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะฟื้นโครงการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ลงทุนรายใหม่ให้มีสิทธิได้สถานะ “ผู้พำนักถาวร” ซึ่งสิ้นสุดไปในปี 2015 กลับขึ้นมา
อีกปัจจัยหนึ่ง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐที่อยู่ในบรรยากาศหนาวเย็น ไม่รู้ว่าจะนำมาซึ่งความเสี่ยงระดับใดในอนาคต สร้างความกังวลต่อทั้งผู้มั่งคั่งและผู้จัดการความมั่งคั่ง ขณะที่การบังคับใช้กฎระเบียบอย่างคาดเดาไม่ได้ของจีนก็สร้างความกังวลไม่น้อยไปกว่ากัน
ผู้บริหารจัดการความมั่งคั่งในฮ่องกงรายหนึ่งซึ่งมีลูกค้าเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่เปิดเผยว่า ผู้มั่งคั่งชาวจีนหลายคนสนใจตั้งสำนักงานครอบครัวแบบเฉพาะครอบครัวเดียว (Single Family Office) แต่คนส่วนใหญ่อยากให้ทรัพย์สินของตัวเองอยู่นอก “มือของทางการจีน” ซึ่งในแง่นี้ สิงคโปร์เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าฮ่องกง
“แม้ว่ากฎหมายและผลประโยชน์จะคล้ายกับสิงคโปร์ แต่คำถามที่ซ่อนอยู่ก็ยังเป็นคำถามว่า (ฮ่องกง) ปลอดภัยหรือไม่” เขากล่าว
เกีย เม้ง โลห์ (Kia Meng Loh) หุ้นส่วนอาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของบริษัทกฎหมาย เดนตันส์ โรดีก แอนด์ เดวิดสัน (Dentons Rodyk & Davidson) ก็มีมุมมองที่คล้ายกันว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ก่อตั้งสำนักงานครอบครัวอาจมองว่าสิงคโปร์มีข้อได้เปรียบมากกว่าฮ่องกงเล็กน้อยในตอนนี้ เพราะผู้คนที่ต้องการเก็บเงินไว้นอกประเทศจีนอย่างปลอดภัย “อาจคิดว่าฮ่องกงอาจจะไม่ปลอดภัยขนาดนั้น”
อย่างไรก็ตาม ทางการฮ่องกงให้ข้อมูลแย้งข้อสังเกตเหล่านี้ว่า ความสนใจของชาวต่างชาติที่จะตั้งสำนักงานครอบครัวในฮ่องกง “เพิ่มขึ้นอย่างมาก” แต่ไม่ได้ให้ข้อมูลสถิติยืนยัน ขณะที่บรรดาธนาคารต่างชาติในฮ่องกงก็บอกว่า มีการสอบถามเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานครอบครัวแบบเฉพาะครอบครัวเดียว (Single Family Office) เพิ่มขึ้น แต่ปฏิเสธที่จะให้ตัวเลขจำนวนการจัดตั้งเช่นกัน
ในอีกทางหนึ่ง “ไฟแนนเชียล ไทม์ส” (Financial Times) รายงานว่า ฝั่งสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าก็พบว่ามีการสอบถามและการจดทะเบียนชะลอลงในช่วงเดือนหลัง ๆ มานี้ หลังจากสิงคโปร์ปรับกฎระเบียบใหม่ให้เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านการตั้งสำนักงานครอบครัว หลังจากที่เกิดกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับการฟอกเงิน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งการคุมเข้มทำให้ผู้ที่ต้องการจัดตั้งสำนักงานครอบครัวในสิงคโปร์ต้องรอคิวนานถึง 18 เดือน จากก่อนหน้านี้ที่ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
จากความเข้มงวดที่ทำให้ยอดจดทะเบียนในสิงคโปร์ชะลอลง ก็เป็นไปได้ว่า ผู้ที่สนใจตั้งสำนักงานครอบครัวในสิงคโปร์อาจจะพิจารณาตัวเลือกทางฝั่งฮ่องกงด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะมีความสัมพันธ์กันกับข้อมูลที่ทางการและธนาคารในฮ่องกงกล่าวตรงกันว่า มีความสนใจสอบถามถึงการตั้งสำนักงานครอบครัวในฮ่องกงเพิ่มขึ้น โดยที่ยังไม่มีการนำตัวเลขการจัดตั้งมาโชว์