คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ได้ยื่นฟ้อง เพื่อระงับการควบรวมกิจการบริษัทเจ้าของแบรนด์หรู โค้ช (Coach) กับบริษัทเจ้าของไมเคิล คอร์ส (Michael Kors) และเวอร์ซาเช (Versace) ท่ามกลางข้อถกเถียง นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการผูกขาดยังแย้งว่า ไม่เป็นการผูกขาด
รอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2024 คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Federal Trade Commission : FTC) ได้ยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อขัดขวางไม่ให้ ทาเพสทรี (Tapestry) บริษัทเจ้าของแบรนด์โค้ช (Coach) และ เคท สเปด นิวยอร์ก (Kate Spade New York) ซื้อกิจการบริษัท คาพรี โฮลดิงส์ (Capri Holdings) เจ้าของแบรนด์สินค้าหรู ไมเคิล คอร์ส (Michael Kors) และเวอร์ซาเช (Versace)
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
ทั้งนี้ ทาเพสทรีได้ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการ คาพรี โฮลดิงส์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2023 ด้วยข้อเสนอมูลค่า 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 314,716 ล้านบาท) โดยหวังจะสร้างบริษัทยักษ์แฟชั่นสัญชาติสหรัฐที่สามารถแข่งกับคู่แข่งในยุโรปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับ แอลวีเอ็มเอช (LVMH) อาณาจักรแบรนด์หรูเบอร์ 1 ของโลก เจ้าของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) และอีกมากมายหลายสิบแบรนด์ แต่ในเดือนพฤศจิกายน 2023 FTC ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงของทั้งสองบริษัท
คณะกรรมาธิการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ให้เหตุผลการฟ้องเพื่อขัดขวางการซื้อกิจการดังกล่าวว่า การซื้อและควบรวมกิจการจะเป็นการขจัด “การแข่งขันแบบตัวต่อตัวโดยตรง” ระหว่างแบรนด์กระเป๋าหรูที่เป็นแบรนด์เรือธงของทั้งสองบริษัท ซึ่งเดิมเป็นคู่แข่งกันโดยตรง
นอกจากนั้น ในแถลงการณ์ของ FTC กล่าวว่า การควบรวมกันของสองบริษัทซึ่งจะเป็นบริษัทที่มีพนักงานประมาณ 33,000 คนทั่วโลก อาจจะนำไปสู่การลดค่าจ้างและผลประโยชน์ของพนักงานลงได้
“ข้อเสนอการควบรวมกิจการขู่ว่าจะกีดกันผู้บริโภคชาวอเมริกันหลายล้านคนจากผลประโยชน์ที่จะได้จากการแข่งขันแบบตัวต่อตัวระหว่างทาเพสทรีกับคาพรี ซึ่งรวมถึงการแข่งขันด้านราคา ส่วนลดและโปรโมชั่น นวัตกรรม การออกแบบ การตลาด และการโฆษณา” FTC กล่าว
ถึงแม้ FTC มีเหตุผลอธิบาย แต่ก็มีข้อถกเถียงค่อนข้างมากเกี่ยวกับการฟ้องร้องของ FTC เนื่องจากดีลซื้อ-ขายกิจการนี้ได้รับการอนุมัติจากสหภาพยุโรป (EU) และญี่ปุ่นแล้วเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา
โจแอนน์ เครวัวเซอรัต (Joanne Crevoiserat) ซีอีโอของทาเพสทรี กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า ทาเพสทรีภาคภูมิใจกับค่าจ้างและสวัสดิการที่บริษัทมอบให้กับพนักงาน และการแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งพนักงานที่มีความสามารถนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น (เธอสื่อว่าแม้ว่าจะควบรวมกับบริษัทในอุตสาหกรรมแฟชั่นด้วยกันแล้ว บริษัทก็ยังคงต้องแข่งขันกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ดังนั้นผลประโยชน์ของพนักงานจะไม่ได้ลดน้อยลงไปตามที่ FTC กังวล-ผู้เรียบเรียง)
“เรามองว่า FTC มีความเข้าใจผิดโดยพื้นฐานเกี่ยวกับตลาดและวิธีที่ผู้บริโภคซื้อสินค้าในปัจจุบัน รวมถึงผลกระทบของข้อตกลงนี้ที่จะเกิดต่อพนักงานและคนงานในอุตสาหกรรมของเรา” ซีอีโอทาเพสทรีกล่าว
“เราจัดหาผู้มีความสามารถเข้ามา และได้สูญเสียผู้มีความสามารถให้กับคู่แข่งไปเป็นจำนวนมาก” เธอกล่าวเสริม
ส่วนคาพรี โฮลดิงส์ ฝ่ายที่จะขายกิจการก็ออกแถลงการณ์แย้งว่า “คาพรี โฮลดิงส์ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของ FTC … สภาพความเป็นจริงของตลาดซึ่งคำร้องของรัฐบาลได้ละเลยส่วนนี้ไป แสดงให้เห็นอย่างท่วมท้นว่าธุรกรรมนี้จะไม่จำกัด ลด หรือระงับการแข่งขัน”
ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการผูกขาดหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับการฟ้องของ FTC เนื่องจากมองว่าตลาดสินค้าหรูในสหรัฐมีการแยกย่อยอย่างมาก โดยมีแบรนด์ที่แตกต่างกันหลายแบรนด์สำหรับผู้บริโภคที่หลากหลาย ไม่ใช่สินค้าที่มีผู้เล่นจำนวนน้อยราย และแบรนด์แฟชั่นดั้งเดิมก็มักเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ๆ ทุกปี
“การตัดสินใจของ FTC ที่จะฟ้องร้องเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะไม่มีปัญหาการแข่งขันในตลาดแฟชั่น เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับ คณะกรรมการได้ยึดถือคำศัพท์ทางการตลาดที่ว่า ‘ความหรูหราที่เข้าถึงได้’ และปฏิบัติต่อมันเสมือนเป็นตลาดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่อยู่ในภาวะสุญญากาศ” โฮเวิร์ด โฮแกน (Howard Hogan) ประธานฝ่ายแฟชั่น การค้าปลีก และผู้บริโภค ของบริษัทกฎหมาย กิบสัน ดันน์ (Gibson Dunn) กล่าว
นักวิเคราะห์จากวาณิชธนกิจ ทีดี โคเวน (TD Cowen) เขียนวิเคราะห์เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า “ในมุมมองของเรา เราไม่เชื่อว่าผู้บริโภคจะได้รับความเสียหายจากการรวมกัน [ของสองบริษัทนี้] เนื่องจากธรรมชาติการแข่งขันของหมวดหมู่สินค้า และระดับความสนใจร่วมกัน [ของแบรนด์กับผู้บริโภค] ที่แตกต่างหลากหลาย”
อย่างไรก็ตาม นักกฎหมายด้านการต่อต้านการผูกขาดหลายหลายรายแสดงความเห็นว่า การยื่นคำร้องต้านการผูกขาดระดับที่หาได้ยากของ FTC ต่อการควบรวมกิจการแฟชั่นระดับไฮเอนด์ครั้งนี้ อาจเป็นความพยายามสร้างแบบอย่างมาตรฐานสำหรับการควบคุมดีลการซื้อกิจการหรูอื่น ๆ หลังจากที่ FTC ได้ออกแนวทางการควบรวมกิจการใหม่ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อส่งเสริมตลาดที่ยุติธรรม เปิดกว้าง และมีการแข่งขัน